เอกสารเตรียมสอบเรื่อง นิติกรรมลอย
โดย จ.อ.นิคม เภาพาน
หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต
1. สรุปนิติกรรมลอย
หลักกฎหมายที่ใช้อธิบายปัญหาว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ได้ตกลงซื้อขายกันจะผ่านมือไป
ยังผู้ซื้อเมื่อใดแตกต่างกันออกไป กล่าวคือระบบคอมมอนลอว์ (เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์) มีหลักว่า ผู้ซื้อย่อมได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นไปทันทีที่สัญญาซื้อขายสำเร็จลง ส่วนประเทศอื่นๆ นอกจากจะมีสัญญาซื้อขายแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ซื้อขายกันจะโอนไปยังผู้ซื้อก็ต่อเมื่อผู้ขายได้ส่งมอบทรัพย์นั้นแก่ผู้ซื้อ หรือได้กระทำการอื่นใดที่มีผลเท่ากับการส่งมอบแก่ผู้ซื้อแล้ว
แต่สำหรับประเทศเยอรมันมีข้อกำหนดที่เป็นพิเศษยิ่งขึ้นไปอีก คือจะต้องมีการตกลงระหว่างผู้โอนกับผู้รับโอนเป็นพิเศษด้วย โดยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายจะต้องตกลงให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ซื้อขายกันนั้นโอนจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อด้วย ข้อตกลงนี้กฎหมายเยอรมันเรียกว่า “ สัญญาทางทรัพย์ ( Dinglicher Vertrag) ซึ่งสัญญาทางทรัพย์มีข้อแตกต่างจากสัญญาซื้อขายหรือสัญญาทางหนี้ เพราะผู้ขายเพียงแต่ผูกพันตนที่จะโอนทรัพย์ที่ตกลงซื้อขายกันให้แก่ผู้ซื้อ ส่วนในสัญญาทางทรัพย์ ผู้ขายตกลงโอนทรัพย์ให้แก่ผู้ซื้อ คือผู้ขายปฏิบัติการชำระหนี้ตามความผูกพันที่ทำไว้โดยผู้ขายตกลงกับผู้ซื้อ ให้ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์เหนือทรัพย์นั้น และความมีผลของสัญญาซื้อขายหรือสัญญาทางหนี้กับผลของสัญญาทางทรัพย์แยกกันเป็นอิสระจากกัน จึงเรียกได้ว่า “ สัญญาลอยทางทรัพย์ ” (Abstrakter Dinglicher Vertrag) อันเป็นหลักกฎหมายของเยอรมัน
หลักกฎหมายว่าด้วย “ สัญญาลอยทางทรัพย์” กล่าวคือ เมื่อผู้ซื้อได้ทำสัญญา “ทางทรัพย์” กับผู้ขายคือตกลงโอนกรรมสิทธิ์และได้รับมอบทรัพย์ที่ซื้อกันนั้นจากผู้ขายแล้ว ผู้ซื้อย่อมได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้น ถึงแม้ว่าสัญญาซื้อขายนั้นจะตกเป็นโมฆะมาแต่แรกหรือสิ้นผลไปเพราะถูกบอกล้างไปภายหลัง หรือสัญญาซื้อขายนั้นไม่มีผลเพราะเหตุหนึ่งเหตุใดก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าข้อตกลงทางทรัพย์นั้นเป็นข้อตกลงที่ “ลอย” (Abstrakt) หรือพรากจากสัญญาซื้อขายที่เป็นมูลเหตุของสัญญาทางทรัพย์นั้น กล่าวคือ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่โอนกันโดยสัญญาทางทรัพย์นั้นย่อมจะโอนไปยังผู้ซื้อแล้วตั้งแต่ตกลงโอนและส่งมอบแก่กัน โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่า สัญญาซื้อขายไม่มีผลหรือมีผลมาแต่ต้นแล้วเสียไปภายหลัง อย่างไรก็ดีแม้ในกรณีที่ผู้ซื้อจะได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้น แต่การได้กรรมสิทธิ์นี้เป็นการได้มาโดยสัญญาที่ไม่มีผล เรียกได้ว่าเป็นการได้มาโดยปราศจากเหตุอันชอบด้วยกฎหมาย (Sine Causa) ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ควรมีสิทธิ์ที่จะยึดถือทรัพย์นั้นไว้เป็นของตัวตลอดไป และต้องมีหน้าที่คืนทรัพย์นั้นแก่ผู้ขายในฐานะที่ได้กรรมสิทธิ์มานั้นเป็น “ ลาภมิควรได้” อันเป็นกรณีตามมาตรา 812 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน
ในระบบกฎหมายของเยอรมัน หลักสัญญาลอยทางทรัพย์นี้มิได้ใช้เฉพาะเรื่องซื้อขายเท่านั้น แต่ยังใช้กับกรณีสัญญาให้ แลกเปลี่ยน หรือการโอนทรัพย์แก่เจ้าหนี้เพื่อประกันการกู้ยืม หรือการโอนทรัพย์ แก่ทรัสตีเพื่อจัดการทรัพย์ด้วย ซึ่งทั้งหลายเหล่านี้มีนิติกรรม 2 ประเภท มาเกี่ยวข้อง กล่าวคือ “นิติกรรมที่เป็นมูล” หรือ “นิติกรรมที่เป็นเหตุ” อันได้แก่สัญญาทางหนี้ เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาให้ สัญญาค้ำประกัน หรือสัญญาตั้งทรัสต์ กับอีกประเภทหนึ่งคือ “ นิติกรรมที่ทำให้สัญญาสำเร็จผล” หรือ “ นิติกรรมที่เป็นการปฏิบัติการชำระหนี้” อันได้แก่การโอนทรัพย์ ให้สำเร็จลุล่วงไปตามวัตถุประสงค์ของสัญญาที่เป็นมูล ทีนี้ถ้าหากปรากฎว่านิติกรรมที่เป็นมูลนั้นตกเป็นโมฆะ นิติกรรมอีกประเภทหนึ่งคือ “นิติกรรมที่ทำให้สัญญาสำเร็จผล” ก็อาจมีผลสมบูรณ์ได้ เพราะนิติกรรมประเภทหลังนี้เป็น “นิติกรรมลอย” แยกจากนิติกรรมที่เป็นมูลและด้วยเหตุนี้ ผู้ซื้อ หรือผู้รับให้ หรือเจ้าหนี้ หรือผู้รับสัญญาค้ำประกัน หรือทรัสตีผู้รับโอนทรัพย์ก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่โอนมาโดยบริบูรณ์
กล่าวโดยสรุป “สัญญาลอยทางทรัพย์” หรือ “นิติกรรมลอย” เป็นหลักกฎหมายของเยอรมันที่อธิบายว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่โอนกันโดย “สัญญาทางทรัพย์” หรือ “นิติกรรมที่เป็นการปฏิบัติการชำระหนี้” นั้นย่อมจะโอนไปยังผู้ซื้อหรือผู้รับโอนแล้วตั้งแต่ตกลงโอนและส่งมอบแก่กัน โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่า “สัญญาทางหนี้” หรือ “นิติกรรมที่เป็นมูล ” ไม่มีผลหรือมีผลมาแต่ต้นแล้วเสียไปภายหลัง อย่างไรก็ดีแม้จะได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้น แต่การได้กรรมสิทธิ์มาโดยสัญญาที่ไม่มีผล ปราศจากเหตุอันชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ควรมีสิทธิ์ที่จะยึดถือทรัพย์นั้นไว้ และต้องมีหน้าที่คืนทรัพย์นั้น คำว่า นิติกรรมลอย เป็นการบัญญัติศัพท์ โดย ดร.หยุด แสงอุทัย
2. สรุปความแตกต่างของระบบสัญญาเดี่ยวและสัญญาคู่
ในการทำสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ สัญญาให้ แลกเปลี่ยน หรือการโอนทรัพย์แก่เจ้าหนี้เพื่อประกันการกู้ยืม หรือการโอนทรัพย์ แก่ทรัสตีเพื่อจัดการทรัพย์ กฎหมายแพ่งเยอรมันได้แยกนิติกรรมออกเป็นสองประเภท คือ“นิติกรรมที่เป็นมูล” หรือ “นิติกรรมที่เป็นเหตุ” หรือที่เรียกว่า “สัญญาทางหนี้ ” กับ “ นิติกรรมที่ทำให้สัญญาสำเร็จผล” หรือ “ นิติกรรมที่เป็นการปฏิบัติการชำระหนี้” หรือที่เรียกว่า ”สัญญาทางทรัพย์” ซึ่งเรียกว่า ระบบสองสัญญาหรือสัญญาคู่ ซึ่งต่างจากฎหมายของไทย ฝรั่งเศส และคอมมอนลอว์ ซึ่งนำการกำหนดในการแสดงเจตนาว่าสมบูรณ์หรือไม่ มาเป็นตัวกำหนดการเกิดสัญญาซึ่งจะมีเพียงสัญญาเดียวเท่านั้น เรียกว่า ระบบสัญญาเดี่ยว
2.1 การเกิดสัญญา
ในระบบสัญญาคู่ เมื่อได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายหรือสัญญาทางหนี้แล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ยังไม่โอนไปยังผู้รับโอนหรือผู้ซื้อ จนกว่าคู่สัญญาจะต้องทำสัญญาทางทรัพย์อีกสัญญาหนึ่งและมีการส่งมอบตัวทรัพย์ กรรมสิทธิ์ถึงจะโอนไปยังผู้ซื้อหรือผู้รับโอน ซึ่งแตกต่างจากระบบสัญญาเดี่ยว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ซื้อขายย่อมโอนไปยังผู้ซื้อทันทีที่ได้ตกลงทำสัญญาซื้อขาย กล่าวคือ กฎหมายไทยสัญญาเกิดเมื่อมีการอันใดอันหนึ่งขึ้นอันพึ่งสันนิษฐานได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาสนองรับ กฎหมายฝรั่งเศสสัญญาเกิดเมื่อผู้เสนอรับทราบคำสนอง โดยพิจารณาจากคำสนองมาถึงภูมิลำเนาของผู้เสนอถือว่าสัญญาเกิด กฎหมายคอมมอนลอว์ สัญญาเกิดทันทีที่ส่งจดหมาย แม้ผู้เสนอจะยังไม่ทราบคำเสนอแม้กระทั่งคำสนองจะหายไปในระหว่างทาง
2.2 การเรียกคืนทรัพย์เมื่อนิติกรรมตกเป็นโมฆะ
ในระบบสัญญาคู่ หากปรากฏว่าสัญญาซื้อขายหรือสัญญาทางหนี้อันเป็นมูลของการโอนทรัพย์นั้นไม่สมบูรณ์ เพราะตกเป็นโมฆะด้วยเหตุที่นิติกรรมนั้นไม่ถูกต้องตามแบบ หรือต้องห้ามโดยบทบัญญัติของกฎหมาย หรือขัดต่อศีลธรรมอันดี หรือด้วยเหตุที่คู่กรณีมิได้มีเจตนาต้องตรงกัน หรือสัญญานั้นตกเป็นโมฆียะ (เพราะเหตุสำคัญผิดฉ้อฉล หรือข่มขู่) และถูกบอกล้างไปภายหลัง ตามหลักว่าด้วย “สัญญาลอยทางทรัพย์นั้นกรรมสิทธิ์ในสินค้าหรือในตัวเงินที่โอนกันย่อมจะโอนไปยังคู่กรณีแล้ว ดังนั้นผู้โอนย่อมไม่อาจอ้างหลักกรรมสิทธิ์มาเป็นฐานในการเรียกทรัพย์คืนได้ต่อไป จึงได้แต่เรียกให้ผู้รับโอนคืนทรัพย์ โดยอาศัยหลักว่าผู้รับโอนได้ทรัพย์นั้นไป โดยปราศจากมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย คือได้ทรัพย์ไปในฐานะเป็นลาภมิควรได้ และผู้รับโอนย่อมจะต้องคืนทรัพย์นั้นแก่ผู้โอน จึงสรุปว่าสิทธิเรียกให้ผู้รับโอนคืนทรัพย์สินที่ได้รับโอนไปตามสัญญาที่ไม่สมบูรณ์ย่อมไม่ใช่สิทธิเรียกร้องทางทรัพย์ ไม่ใช่การเรียกทรัพย์คืนโดยอาศัยหลักกรรมสิทธิ์ตามมาตรา 985 ป. แพ่งเยอรมัน ผู้โอนคงมีแต่สิทธิเรียกร้องทางหนี้ต่อผู้รับโอน ในอันที่จะเรียกร้องให้ผู้รับโอนคืนทรัพย์แก่ตนตามหลักว่าด้วยลาภมิควรได้ (มาตรา812 ฯ ป.แพ่งเยอรมัน) เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากระบบสัญญาเดี่ยว กล่าวคือการทำสัญญาซื้อขายซึ่งเป็นสัญญาทางหนี้ มีผลทำให้กรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อทันทีที่ตกลงทำสัญญาซื้อขายหรือสัญญาทางหนี้กัน โดยไม่ต้องไปทำสัญญาอะไรกันอีก และหากสัญญาในทางหนี้ตกเป็นโมฆะ เพราะเหตุมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งด้วยกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี ถือว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นยังไม่ได้โอนไปยังผู้ซื้อ กรรมสิทธิ์ยังอยู่ที่เจ้าของ สามารถติดตามเอาคืนได้ตามหลักกรรมสิทธิ์ ตามมาตรา 1336 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ของไทย
2.3 การโอนทรัพย์ไปยังบุคคลที่สาม
ในระบบสัญญาคู่ ประกอบด้วยสัญญาทางหนี้ และสัญญาทางทรัพย์ ในการโอนทรัพย์ไปยังบุคคลที่สาม หากสัญญาทางหนี้ระหว่างผู้รับโอน(ผู้ซื้อ) กับบุคคลที่สามสมบูรณ์ และสัญญาทางทรัพย์มีการส่งมอบทรัพย์ กรรมสิทธิ์ย่อมโอนไปยังบุคคลที่สามทันที ผู้ขายหรือผู้โอนจะไปฟ้องเอาคืนจากบุคคลที่สามไม่ได้ ซึ่งจะแตกต่างจากระบบสัญญาเดี่ยว โดยยึดหลักกฎหมายทั่วไป หลักว่า “ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน” หากสัญญาซื้อขายตกเป็นโมฆะ ถือว่ากรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อ กรรมสิทธิ์ยังอยู่กับเจ้าของทรัพย์ เมื่อผู้ซื้อไม่มีกรรมสิทธิ์ บุคคลที่สามย่อมไม่มีกรรมสิทธิ์ดีกว่า ผู้ขายสามารถติดตามเอาทรัพย์คืนจากบุคคลที่สามได้ตามหลักกรรมสิทธิ์ ตาม ปพพ. มาตรา 1336
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
มุมสำหรับเพื่อน ๆ แสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยน เติมเต็ม ติชม และแซว