จ.อ.นิคม เภาพาน
หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาอำนาจเจริญ
สรุปค่าเสียหายในเชิงลงโทษ
ค่าเสียหายเชิงลงโทษ เป็นค่าเสียทางละเมิดประเภทหนึ่งที่แบ่งแยกประเภทตามความมุ่งหมายของการกำหนดค่าเสียหายทางละเมิด อันเกิดจากระบบกฎหมาย civil law และระบบ common law โดยแต่ละระบบกฎหมายมีจุดเริ่มต้นของค่าเสียหายทางละเมิดหรือที่มาของค่าเสียหายทางละเมิดที่แตกต่างกัน กล่าวคือ
ค่าเสียหายทางละเมิดของระบบ Civil law เกิดจากประมวลกฎหมายแพ่งของโรมันซึ่งตาม “ทฤษฎีว่าด้วยหนี้” ( Theory Of Obligation) โดยถือว่าหนี้ละเมิดเป็นหนี้ประเภทหนึ่งของหนี้ในทางแพ่งที่คู่กรณีจะต้องมีการชดใช้แก่กัน ส่วนค่าเสียหายทางละเมิดของระบบ common law เกิดจากหมายเรียกคดีละเมิด ( Writ Of Trespass) โดยถือว่าการกำหนดค่าเสียหายถือเป็นคดีเฉพาะเรื่อง
เมื่อมีที่มาหรือการเกิดของค่าเสียหายทางละเมิดแตกต่างกันทำให้ มีจุดมุ่งหมายของการกำหนดค่าเสียหายต่างกันไปด้วย กล่าวคือ ระบบ civil law มุ่งหมายให้ผู้ละเมิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในทำนองเดียวกับหนี้ตามสัญญา โดยยึดและกำหนดค่าเสียหายตามความเสียหายที่แท้จริงซึ่งผู้เสียหายได้รับเป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าเสียหาย ซึ่งมีเหตุผลเชื่อว่า ผู้เสียหายไม่พึงได้รับการชดใช้ค่าเสียหายเกินกว่าหนี้ที่ผู้ละเมิดมีต่อตน ส่วนระบบ common law ไม่ได้ยึดหลักตามทฤษฎีว่าด้วยหนี้ย่างเดียว แต่มีแนวความคิดทางอาญาเจือปนเข้ามาด้วย จึงส่งผลให้นอกจากจะกำหนดให้ผู้ละเมิดชดใช้ค่าเสียหายตามความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับแล้ว บางครั้งอาจกำหนดค่าเสียหายในส่วนที่เป็นการลงโทษผู้ทำละเมิดอีกด้วย
ค่าเสียหายทางละเมิดแบ่งออกตามความมุ่งหมายของการกำหนดค่าเสียหาย ออกเป็น 2 ประเภท กล่าวคือ ค่าเสียหายแบบค่าสินไหมทดแทน (Compensatory Damages) และค่าเสียหายแบบเป็นโทษ (Punitive Damages)
1.ค่าเสียหายแบบค่าสินไหมทดแทน (Compensatory Damages) เป็นค่าเสียหายในลักษณะ “ค่าสินไหมทดแทน” ที่ผู้ละเมิดจะต้องจ่ายชดใช้ให้แก่ผู้เสียหาย เพื่อให้ผู้เสียหายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมก่อนถูกกระทำละเมิดให้ได้ใกล้เคียงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีความเสียหายที่ปรากฏในรูปของตัวเงินค่าใช้จ่าย รายได้ที่ขาดไป หรือความเสียหายที่ไม่เป็นตัวเงิน ซึ่งการกำหนดค่าเสียหายแบบนี้เป็นหลักเกณฑ์ของระบบ civil law ส่วนระบบ common law ถือหลักการผสมคือจะกำหนดค่าเสียหายแบบเป็นโทษตอบแทนแก่ผู้ละเมิดด้วย
ค่าเสียหายแบบค่าสินไหมทดแทนมีลักษณะสำคัญ คือ
ก. เป็นการชดใช้ทดแทนความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับจริงๆ
ข. ฝ่ายผู้เสียหายต้องพิสูจน์ความเสียหายที่ตนได้รับให้ปรากฏต่อศาล
ค. ในระบบกฎหมาย civil law สามารถผ่อนชำระค่าเสียหายได้เป็นงวดๆ หรือเป็นรายปี ส่วนระบบ Common law ต้องชำระคราวเดียว
2. ค่าเสียหายแบบเป็นโทษ (Punitive Damages) เป็นค่าเสียหายที่กำหนดให้ผู้ละเมิดต้องใช้แก่ผู้เสียหายเพื่อตอบแทนความรุนแรงแห่งพฤติการณ์ของการกระทำละเมิด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการลงโทษผู้ละเมิดซึ่งมีพฤติการณ์จงใจไม่นำพาต่อกฎหมายและสิทธิของบุคคลอื่น การกำหนดค่าเสียหายแบบนี้ เป็นหลักการของ common law โดยเฉพาะ อันเป็นการกำหนดค่าเสียหายเพื่อเป็นค่าสินไหมทดแทนและเพื่อลงโทษผู้ละเมิดควบคู่กัน
ลักษณะสำคัญของค่าเสียหายแบบเป็นโทษ มีดังนี้
ก. เป็นค่าเสียหายที่กำหนดลงโทษตอบแทนผู้ละเมิดเพื่อปรามไม่ให้ทำไม่ชอบเช่นนั้นอีก และยังไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างด้วย
ข. ฝ่ายผู้เสียหายไม่ต้องพิสูจน์จำนวนค่าเสียหาย แต่ศาลกำหนดให้ตามความเหมาะสมได้เองโดยพิจารณาจากความร้ายแรงแห่งละเมิด สภาพ และปริมาณความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับเอง กับฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ละเมิด
ค. เป็นค่าเสียหายที่เพิ่มเติมขึ้นนอกเหนือจากค่าเสียหายที่ชดใช้ทดแทนความเสียหายจริงๆ แต่ในบางคดีอาจไม่ปรากฏความเสียหายจริงที่จะทดแทน ศาลก็จะกำหนดแต่ค่าเสียหายแบบเป็นโทษให้เท่านั้น
ง. กำหนดให้เฉพาะกรณีละเมิดที่มีพฤติการณ์รุนแรง มีลักษณะการกระทำเช่นเดียวกับในคดีอาญา เช่น ใช้กำลังทำร้ายร่างกาย ข่มขู่หลอกลวง ฉ้อฉล โดยผู้ละเมิดจงใจให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อจิตใจของผู้เสียหาย หรือมุ่งหมายให้ผู้เสียหายอับอายหรือถูกเหยียดหยาม
ค่าเสียหายแบบเป็นโทษนี้ในระยะหลังทางคอมมอนลอว์ พยายามหลีกเลี่ยงไม่กำหนด โดยเฉพาะในอังกฤษ เห็นได้จากคำพิพากษาคดี Rooks V. Barnard โดยศาลสูงได้วางหลักเกณฑ์ค่าเสียหายแบบเป็นโทษมีได้ 3 กรณีเท่านั้น กล่าวคือ
ก. คดีที่เจ้าพนักงานของรัฐจงใจทำละเมิดฝ่าฝืนกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือ
ข. คดีที่จำเลยจงใจหวังผลกำไรเป็นจำนวนสูงกว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับจากการกระทำละเมิดของจำเลย เช่น คดี Cassell Co.Ltd. v Broome, 1972 จำเลยลงพิมพ์ข้อความเท็จมุ่งให้โจทก์เสียหายโดยจำเลยหวังรายได้จากการพิมพ์จำหน่ายเป็นจำนวนสูงกว่าค่าเสียหายที่คาดว่าจะต้องชดใช้แก่โจทก์
ค. คดีที่มีกฎหมายกำหนดให้จ่ายค่าเสียหายแบบเป็นโทษแก่ผู้เสียหาย
ส่วนในประเทศไทยนั้นก็ได้มีการบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวกับค่าเสียหายแบบลงโทษเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากค่าสินไหมทดแทน เช่น
ในพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545 โดยได้บัญญัติไว้ในมาตรา 13 (3) ว่า “ในกรณีที่ปรากฎหลักฐานชัดเจนว่าการละเมิดสิทธิในความลับทางการค้าเป็นการกระทำโดยจงใจหรือเจตนากลั่นแกล้ง เพื่อให้ความลับทางการค้าดังกล่าวสิ้นสภาพการเป็นความลับทางการค้า ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ละเมิดจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากจำนวนที่ศาลกำหนดได้ แต่ต้องไม่เกินสองเท่าของค่าสินไหมทดแทน”
พระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551 มาตรา 11 ได้กำหนดค่าเสียหายขึ้นใหม่เพิ่มขึ้นไปจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะละเมิด คือ ความเสียหายต่อจิตใจอันเป็นผลเนื่องมาจากความเสียหายต่อร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยของผู้เสียหาย ซึ่งหากจะว่ากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะละเมิดอย่างเดียวไม่อาจจะเรียกได้
ส่วนพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้ไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนด แต่ถ้าค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนดมีจำนวนเงินไม่เกิน 50,000 บาท ให้ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้ไม่เกิน 5 เท่า ของค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนด
จากพระราชบัญญัติต่างๆ เหล่านี้ทำให้เห็นว่าได้มีการบัญญัติให้ศาลมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อเป็นการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจำนวนของค่าเสียหายที่แท้จริงตามที่ศาลเห็นสมควร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการลงโทษผู้กระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ดังนั้นการนำเอาหลักเกณฑ์ของค่าเสียหายในเชิงลงโทษที่มีบังคับใช้อยู่ในระบบ Common law มาบังคับใช้ในกฎหมายดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ากฎหมายไทยได้ให้การยอมรับในหลักเกณฑ์ของการกำหนดค่าเสียหายในเชิงลงโทษแล้วในระดับหนึ่ง
ค่าเสียหายเชิงลงโทษ หรือที่เรียกว่า “ ค่าเสียหายแบบเป็นโทษ” เป็นการกำหนดค่าเสียหายในหลักการของระบบ common law เพื่อเป็นค่าสินไหมทดแทนและเพื่อลงโทษผู้ละเมิด ซึ่งเป็นค่าเสียหายแบบลงโทษที่เพิ่มเติมขึ้นนอกเหนือจากค่าเสียหายที่ชดใช้ทดแทนความเสียหายจริงๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อปรามไม่ให้ทำไม่ชอบเช่นนั้นอีก และยังไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างด้วย โดยที่ฝ่ายผู้เสียหายไม่ต้องพิสูจน์จำนวนค่าเสียหาย ศาลกำหนดให้ตามความเหมาะสม และกำหนดให้เฉพาะกรณีละเมิดที่มีพฤติการณ์รุนแรง ซึ่งปัจจุบันกฎมายไทยได้ยอมรับนำเอาหลักเกณฑ์ของค่าเสียหายในเชิงลงโทษในระบบ Common law มาบังคับใช้ ดังจะเห็นได้จากการตรากฎหมายต่างๆ รองรับ เช่น พระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545
ปล. เป็นแค่แนวทางในการสอบเท่าครับบ.....