บทความใน Blog นี้ เป็นบทความที่รวบรวมมาจากสาขาวิทยบริการต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง จาก Website ต่าง ๆ และจัดทำขึ้นเอง เพื่อสะดวกในการศึกษาค้นคว้า(ต้องขออภัยที่ไม่ได้ขออนุญาตผู้เป็นเจ้าของข้อมูล ในการเผยแพร่อย่างเป็นทางการ) คำบรรยายของอาจารย์ทุกท่านอาจจะมีข้อหรือคำผิดพลาด อันเนื่องมาจากการพิมพ์และการตีความของผู้พิมพ์และผู้เรียบเรียงได้ ขอให้ผู้ศึกษาโปรดใช้วิจารณญาณ ขอขอบพระคุณเจ้าของผลงานทุกท่าน พร้อมอาจารย์ทุกท่านที่ได้มอบความรู้และคุณธรรมให้แก่ลูกศิษย์ด้วยความเมตตา

23 สิงหาคม 2554

แนวทางข้อสอบ วิชา LA 741 ศูนย์ขอนแก่น

สเตปการตอบข้อสอบของอาจารย์สถาพร
                   โดย  คุณตุ๊กตา ( ศูนย์ขอนแก่น)
                ขอขอบคุณน้องนพที่จัดส่งขอมูลให้ขึ้นบล็อก

ประเด็นที่หนึ่ง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง ตามมาตรา 4 (จำไว้ว่าคุ้มครองทุกคนทุกเชื้อชาติที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทยค่ะ)
โดยหลัก บุคคลย่อมเสมอกันในทางกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียม
กัน
ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน
การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกาย หรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรมหรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้ ตามมาตรา 30
(ข้อสอบจะถามในส่วนนี้โดยให้ปัญหาตุ๊กตาโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่อง...................แล้วจะถามต่อว่าบุคคลที่ถูกเลือกปฏิบัตินั้นมีสิทธิตามใช้หลักประกันทางศาล ตาม.28 ว.2 หรือไม่)
                แน่นอนตอบต้องฟังธงเลยว่า บุคคลนั้นถูกละเมิดโดยอำนาจรัฐเพราะถ้าไม่ถูกละเมิด ตามม.28 ว.2 แล้วก็จบไม่สามารถต่อได้ ซึ่งตามวิสัยของอ.จะอยากให้เราแสดงความรู้ที่เรียนมามากกว่านี้ 
ตอบว่า โดยหลักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อม
ได้รับความคุ้มครอง ตามมาตรา 4 คุ้มครองทุกคนทุกเชื้อชาติที่อยู่ในประเทศไทย  เนื่องจากเจ้าหน้าที่เลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งความแตกต่าง.....ตามมาตรา 30 เขาจึงเป็นบุคคลที่ซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพจากอำนาจรัฐ ที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ และสามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ ตามมาตรา 28 วรรค 2
                มาตรา 28 ว.2  ศาลดังกล่าว  คือทุกศาลแล้วแต่คดีอยู่ในเขตอำนาจศาลใด แต่ส่วนมากจะเป็นศาลปกครอง เพราะผู้ใช้อำนาจรัฐ  คือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานทางปกครอง ออกกฎหรือคำสั่งทางปกครองหรือการกระทำทางปกครองหรือสัญญาทางปกครอง แล้วกระทบกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน เช่น ออกคำสั่งทางปกครองให้เจ้าหน้าที่เอาประกาศปิดหน้าวัดอิสลาม มีข้อความห้ามคนที่นับถือศาสนาพุทธเข้าไปเที่ยวเยี่ยมชมในวัด พอคนนับถือศาสนาพุทธจะเข้าไปก็ถูกเจ้าหน้าที่ห้ามไม่ให้เข้าไปและให้ชี้ดูประกาศที่ติดดังกล่าว กรณีนี้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง ตามม.9 พรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 บุคคลที่ถูกละเมิดนั้นสามารถใช้สิทธิทางศาลโดยฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้
สรุป ม.4+ม.30+ม.28 ว.2+พรบ.จัดตั้งศาลปกครอง ม.9

ประเด็นที่สอง คำถามจะถามว่าการใช้สิทธิเสรีภาพของนาย ก. (สมมติ) เป็นปฏิปักษ์ต่อ
รัฐธรรมนูญหรือไม่ (คำถามอาจจะถามถึงประเทศเยอรมัน และให้เราเป็นศาลเยอรมันจะตัดสินว่าอย่างไร เนื่องจากประเทศไทยนำกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิ เสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของประเทศเยอรมันมาใช้ เราก็นำหลักกฎหมายไทยปรับใช้ค่ะเพราะมันก็คือหลักกฎหมายของเยอรมัน
                ตอบ โดยหลักบุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิทางศาลและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามมาตรา 28 วรรคหนึ่งการกระทำที่เป็นกรณีปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ ได้แก่ การกระทำที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงมาตรา 1 หรือ มาตรา 2
                กรณีที่ 1. การกระทำที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐจากราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวแล้วเขาไปแบ่งแยก เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ
                กรณีที่ 2. กระทำการอันมีลักษณะเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตามมาตรา 2 เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ
                 สมมติว่า  ผู้สมัครรับเลือกตั้งขึ้นปราศรัยบอกกล่าวแนะนำกับประชาชนว่าในการปกครอง
ส่วนภูมิภาคผู้ว่าราชการจังหวัดจะมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดินได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่าผู้ว่าฯ นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้ง โดยหลักต้องมาจากระทรวงมหาดไทย การเสนอแนวคิดนโยบายดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง ตามมาตรา 2
                - ผู้สมัครรับเลือกตั้งกล่าวเสนอนโยบายของตนว่าถ้าได้เป็นแล้วจะได้มีการผลักดันร่าง
กฎหมายในเรื่องหนึ่งเรื่องใดต่อไปและรวมไปถึงแนะนำประชาชนอย่าไปเลือกตั้งเพราะการเลือกตั้งที่ผ่านมาไม่มีผลเกิดผลทางการเมือง คำว่า อย่าไปเลือกตั้งเป็นการกระทำที่ถือว่ามีผลเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตามมาตรา 2 เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ

                ประเด็นที่ 3. กรณีตามปัญหาศาลปกครองเห็นว่าไม่อยู่ในเขตอำนาจของตนจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาโดยตรงได้หรือไม่?
แนวคำตอบ โดยหลัก ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร หรือศาลอื่น ต้องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา 199  กรณีตามปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว เห็นว่า เป็นปัญหาเกี่ยวกับเขตอำนาจระหว่างศาลรัฐธรรมนูญ กับศาลปกครอง ตามมาตรา 245 (1) หรือ (2) จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ตามมาตรา 199 ไม่ได้ อีกทั้ง ศาลอื่น ตามมาตรา 199 นั้นหมายถึงศาลที่จะถูกจัดตั้งขึ้นในอนาคตเช่นศาลเลือกตั้ง ศาลจราจร เป็นต้น ไม่ได้หมายความถึงศาลรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น จึงส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามมาตรา 199 พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดไม่ได้
ทั้ง จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามมาตรา 214 ก็ไม่ได้ เพราะมาตรา 214 โดยหลัก กรณีที่มีความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างรัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ที่มิใช่ศาลตั้งแต่สองศาลขึ้นไป ให้ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี หรือองค์กรนั้น เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา
ดังนั้น แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ แต่มาตรา 214 บัญญัติว่า ต้องมิใช่ศาล จึงส่งเรื่องพิพาทให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ตามมาตรา 214 ไม่ได้  ข้าพเจ้าเห็นว่า ศาลปกครองต้องมีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีไว้พิจารณา
               
                ประเด็นที่ 4. คำถามจะเป็นในส่วนขั้นตอนการนำคดีฟ้องต่อศาลปกครอง ต้องพิจารณาว่าคำสั่งทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น หากไม่พอใจในคำสั่ง ต้องทำตามขั้นตอนคือต้องอุทธรณ์ต่อผู้ออกคำสั่งก่อนหรือไม่ (ตามม.42 ว.2 พรบ.จัดตั้งศาลปกครองฯ พ.ศ. 2542)
                ถ้าต้องอุทธรณ์ก่อนก็อุทธรณ์ภายในเวลาที่กำหนดในคำสั่ง แต่ถ้าในคำสั่งไม่กำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ก็สามารถอุทธรณ์ได้ภายใน 1 ปี นับแต่ออกคำสั่ง หากอุทธรณ์แล้ว ก็มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ยืนยันคำสั่งเดิม ก็นำคดีฟ้องต่อศาลปกครอง ตามมาตรา 9 พรบ.จัดตั้งศาลปกครองฯ พ.ศ. 2542 เพื่อให้ศาลปกครองมีคำบังคับเพิกถอนคำสั่งทางปกครองนั้น ตามมาตรา 72 พรบ.เดียวกัน)
แต่ คำสั่งของกกต. ที่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสส. หรือ สว. ก่อนการประกาศผลการเลือกตั้ง โดยหลักคำสั่งทางปกครองและเป็นคำสั่งที่ กกต.มีอำนาจใช้ดุลพินิจเบ็ดเสร็จ คือเป็นที่สุด ตามมาตรา 239 แห่งรัฐธรรมนูญ หากผู้ได้รับคำสั่งไม่พอใจอุทธรณ์ไม่ได้
                บุคคลซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิตามคำสั่งของ กกต. ดังกล่าวเป็นผู้ถูกละเมิดโดยการใช้อำนาจรัฐสามารถใช้สิทธิทางศาล ตามมาตรา 28 ว.2 ได้หรือไม่
                ตอบใช้สิทธิทางศาลได้ (แล้วฟ้องศาลไหน ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง)

ปล. ไม่ใช่ธงคำตอบนะครับ เอาไว้ดูเผื่อกำลังว่าเราจะอ่านอะไรไปตอบดี เอามาลงไว้เผื่อคนยังไม่เคยเห็น ใครเคยอ่านแล้วก็ขออภัยด้วยนะครับ...
                                                         ขอขอบคุณน้องนพ  ที่จัดส่งข้อมูลให้ขึ้นบล็อกครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

มุมสำหรับเพื่อน ๆ แสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยน เติมเต็ม ติชม และแซว