บทความใน Blog นี้ เป็นบทความที่รวบรวมมาจากสาขาวิทยบริการต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง จาก Website ต่าง ๆ และจัดทำขึ้นเอง เพื่อสะดวกในการศึกษาค้นคว้า(ต้องขออภัยที่ไม่ได้ขออนุญาตผู้เป็นเจ้าของข้อมูล ในการเผยแพร่อย่างเป็นทางการ) คำบรรยายของอาจารย์ทุกท่านอาจจะมีข้อหรือคำผิดพลาด อันเนื่องมาจากการพิมพ์และการตีความของผู้พิมพ์และผู้เรียบเรียงได้ ขอให้ผู้ศึกษาโปรดใช้วิจารณญาณ ขอขอบพระคุณเจ้าของผลงานทุกท่าน พร้อมอาจารย์ทุกท่านที่ได้มอบความรู้และคุณธรรมให้แก่ลูกศิษย์ด้วยความเมตตา

27 กรกฎาคม 2554

LA 741

ขอบพระคุณผู้จัดทำ Web .โท จ.ตรัง รุ่นที่ 1
(บรรยายเมื่อวันที่ 28-29 ..2554 และ วันที่ 4-5 มิ.ย.2554)
สรุปคำบรรยาย  อาจารย์พัฒนะ เรือนใจดี
ขอบคุณ : น้องนพ @ น้องอุ๊ ที่ส่งข้อมูลให้ขึ้นบล็อก

เนื้อหาโดยรวมจากการบรรยายมีดังนี้
การแถลงนโยบาย  มาตรา 176
สส. ก็สามารถเป็นรัฐมนตรีได้  มาตรา 174(6)
ที่มาของคณะกรรมการสรรหา  มาตรา 231,มาตรา 243,มาตรา 246,มาตรา 252
ที่มาของ สส. มาตรา 93,มาตรา 94,มาตรา 95,มาตรา 96,มาตรา 97,มาตรา 98
ที่มาของ สว.  มาตรา 111,มาตรา 112,มาตรา 113
การถอดถอน  มาตรา 270,มาตรา 271,มาตรา 272
การอภิปรายไม่ไว้วางใจ  มาตรา 158,มาตรา 159

*แต่มาตราที่สำคัญมากคือมาตรา 160
          กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด ไม่มีกฎหมายใดสูงกว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายรัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายชั้นสูง กฎหมายใดจะขัดหรือแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ได้ หากกฎหมายใดขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญกฎหมายนั้นจะนำมาใช้บังคับไม่ได้ แต่มีทนายบางคนบอกว่า กฎหมายที่ขัดกับรัฐธรรมนูญจะตกเป็นโมฆะ ซึ่งไม่ใช่ เพราะคำว่าโมฆะนั้นจะใช้กับกฎหมายแพ่ง ไม่นำมาใช้กับกฎหมายรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด หรือเรียกว่า หลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ
          การเรียนในชั้นปริญญาโทจะต่างกับปริญญาตรี คือ ปริญญาตรี คำถามจะเน้นความจำ เช่น จงอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจมา ทั้งคณะและรายบุคคลพร้อมทั้งรายละเอียด ให้อธิบายมาโดยละเอียด หรือ จงอธิบายที่มาของ สส. และ สว. ตามที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญ แต่ในชั้นปริญญาโทจะถามว่า มาตรา 162 ว.2 เขียนถูกหรือเขียนผิด,มาตรา 164 และ มาตรา271-273 เขียนถูกหรือเขียนผิด
          มาตรา 162 ว.2 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีอิสระจากมติพรรคการเมือง ในการตั้งกระทู้ถาม การอภิปราย และการลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
          การที่ สส.ไม่ต้องฟังมติพรรค มีอิสระในการดำเนินการ เขียนถูกหรือเขียนผิด ถ้าเขียนถูก ถูกเพราะอะไร และถ้าเขียนผิด ผิดเพราะอะไร?
          การจะตอบนั้นจะต้องขึ้นต้นว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่มีถูกมีผิด กฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ใช่กฎหมายแล้วแต่ คือ เข้าคูหาแล้วเอาตามเสียงของคนส่วนใหญ่ที่เห็นด้วยแล้วออกมาเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญ แบบนี้ไม่ใช่ เนื่องจากกฎหมายรัฐธรรมนูญต้องเป็นกฎหมายที่มีคำตอบ ถ้ากฎหมายรัฐธรรมนูญไม่มีคำตอบแล้วจะสามารถตรวจสอบได้อย่างไร
          อาจารย์ยกตัวอย่างที่อาจารย์ออกข้อสอบเข้าศึกษาระดับปริญญาโทของราม ว่ามีนักศึกษาสมัคร 1500 คน เอา 80 คน โดยถามว่า
- จากการพิจารณา รัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 91,92,93,94 การมีบทบัญญัติว่าด้วยการยุบพรรคการเมืองมากๆดีหรือไม่อย่างไร?
- จากการพิจารณารัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 237 กับกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 91,92,93,94 การที่บัญญัติให้มีการยุบพรรคมากๆดีหรือไม่ อย่างไร?
          การมีบทบัญญัติว่าด้วยการยุบพรรคการเมืองมากๆดีหรือไม่ เช่น รับต่างด้าวเข้าพรรคก็โดนยุบ,รับเงินสกปรกก็โดนยุบ,ช่วยญาติที่เป็น สว.หาเสียงก็โดนยุบ,กลั่นแกล้งพรรคอื่นก็โดนยุบ,ไม่แจงบัญชีรายรับ-รายจ่ายก็โดนยุบ,เอาเงินที่ กกต.ให้ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ก็โดนยุบ เหมือนอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์โดน แต่พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่โดนยุบ เพียงแต่โดนฟ้อง,หาสมาชิกแต่ละคนกระจายในแต่ละภาคไม่ได้ก็โดนยุบ,ไม่ส่งสมาชิกลงสมัครก็โดนยุบ สรุปดีหรือไม่ดี?
          อาจารย์ต้องการบอกว่าอย่าคิดว่ารัฐธรรมนูญนั้นเป็นกฎหมายแล้วแต่ กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่งยังมีธงคำตอบ เช่น ฆ่าคนตาย ก็ตอบได้ว่าผิดมาตรา 288 ,ขโมยของ ผิดมาตรา 334 ,วิ่งราวทรัพย์ ผิดมาตรา 336 ,ยักยอกทรัพย์ รับของโจร โกงเจ้าหนี้ ทำไมกฎหมายอาญามีธงดังนั้นกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ต้องมีคำตอบ ในเมื่อกฎหมายอาญา กฎหมายแพ่งยังมีคำตอบ แต่รัฐธรรมนูญไม่มี เช่น การมีบทบัญญัติว่าด้วยพรรคการเมืองมากๆดีหรือไม่ดี? บางคนก็บอกว่าดี เพราะพรรคเลว พรรคชั่ว พรรคก็ต้องโดนยุบ แต่บางคนก็บอกว่าไม่ดี เพราะพรรคการเมืองเป็นตัวตึก เป็นสถาบันการเมืองไม่เกี่ยวกับคน เมื่อคนทำผิดคนก็ต้องติดคุก แล้วเราจะตรวจได้อย่างไรว่าความคิดไหนถูกหรือผิด
           กฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นไม่ใช่กฎหมายแล้วแต่ ต้องมีหลัก มีทฤษฎี มีกฎหมายรองรับ ต้องมีคำตอบ ไม่ใช่ตอบอย่างไรก็ได้ แล้วแต่เหตุผลสนับสนุน ถ้าเป็นแบบนี้ต้องไปเรียนรัฐศาสตร์
          กลับมาที่มาตรา 162 ว.2 ซึ่งเป็นเรื่องมติพรรคกับอิสระของสส. พรรคต้องสั่ง สส.ได้ หรือ สส.ต้องปราศจากการครอบงำของพรรคการเมืองนั้นต้องมีธงคำตอบ มีกฎหมาย มีทฤษฎีมารองรับ ทั้งๆที่กฎหมายอาญา กฎหมายแพ่งเป็นกฎหมายลำดับรองแต่ก็ยังมีธงคำตอบ  มีเฉลย
          จุดประสงค์ของอาจารย์ก็เพื่อต้องการให้คนที่เรียนวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ มองออกว่าการร่างรัฐธรรมนูญร่างแบบไหนถูกต้อง ร่างแบบไหนไม่ถูกต้อง กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายชั้นสูงต้องใช้เทคนิค มันเป็นกลไกของการผูกโยงกันของอำนาจอธิปไตย ซึ่งประกอบด้วย อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ ซึ่ง3อำนาจนี้มีวิธีผูกโยงกัน ไม่ใช่ต้องการจะผูกอย่างไรก็ได้
          มาตรา 171 การจำกัดวาระของนายก ควรจะจำกัดหรือไม่? เช่น กรณีอดีตนายกทักษิณ ซึ่งกฎหมายต้องมีคำตอบ ,มาตรา 162 ว.2 จะไปเอาคำตอบที่ไหน,การจำกัดวาระนายกจะไปเอาคำตอบที่ไหน ไม่ใช่ว่าเอาตามที่คนส่วนใหญ่เห็นด้วย เนื่องจากกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ไม่ต้องการการมีส่วนร่วม
การเมืองที่ไหนในระบบรัฐสภาที่ให้ สส. โหวตได้ตามใจชอบ?
         ประเทศอังกฤษ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศอินเดีย ประเทศมาเลเซีย ประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศสิงคโปร์ พรรคต้องเป็นใหญ่ มติพรรคคือความยิ่งใหญ่ของระบบรัฐสภา เป็นเครื่องมือสำคัญ ในระบบรัฐสภาหัวใจอยู่ที่มติพรรค ต้องใช้มติพรรคในการควบคุม สส.
การจำกัดวาระของนายก ประเทศไหนมีการจำกัดวาระบ้าง?
          ประเทศอื่นไม่มีการจำกัดวาระของนายก แต่ของเราร่างแบบจะเอาอย่างไรก็ร่าง เมื่อร่างเสร็จแล้วก็ไปถามชาวบ้าน ชาวบ้านก็ใช้ตามความรู้สึกตามข้อเท็จจริง คือเห็นว่าควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ กฎหมายรัฐธรรมนูญ จึงกลายเป็นกฎหมายข้อเท็จจริง คือร่างจากข้อเท็จจริง เช่น กรณีของอดีตนายกทักษิณ เป็นนายกนานเกิน ก็กำหนดว่าห้ามเป็นนายกเกิน 2 วาระ,กรณี สส.ซื้อเสียงในสนามเลือกตั้ง ก็ร่างกฎหมายขึ้นมาไม่ให้ สส.เป็นรัฐมนตรี เพราะกลัว สส.จะไปถอนทุนคืน จึงห้าม สส.เป็นรัฐมนตรี คือเป็นการร่างรัฐธรรมนูญแบบใช้ข้อเท็จจริงร่าง คือเอาข้อเท็จจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วข้อเท็จจริงมันจะหมุนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ทันเหรอ เมื่อกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่นิ่ง ต้องร่างกันทุกวัน กฎหมายรัฐธรรมนูญจึงกลายเป็นกฎหมายแกว่งทุกวันเพราะข้อเท็จจริงเปลี่ยนทุกวัน
          มาตรา 72 แก้จากสิทธิในการเลือกตั้งเป็นหน้าที่แทน เพราะกลัวว่า สส.จะซื้อเสียง แต่ถึงแม้จะแก้ไขให้เป็นหน้าที่แทน สส.ก็ยังซื้อเสียงไหวอยู่
องค์ประกอบของรัฐธรรมนูญ
1.ข้อจำกัดอำนาจรัฐ
2.ข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ
3.หลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตย :อำนาจนิติบัญญัติ(รัฐสภา) อำนาจบริหาร(คณะรัฐมนตรี) อำนาจตุลาการ(ศาล) ซึ่ง 3 อำนาจนี้มีการผูกโยงเชื่อมต่อกัน

     ซึ่งจากองค์ประกอบข้างต้นสามารถแตกเป็นกฎหมายลำดับรองได้
           ประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยต้องมีกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ประเทศที่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญ อาจไม่เป็นประชาธิปไตยก็ได้ สิ่งสำคัญคือสิ่งที่อยู่ภายใน จีน เกาหลีเหนือ คิวบา ยุโรปตะวันออก ประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์ ก็มีกฎหมายสูงสุดในการปกครอง ประเทศไหนๆก็มีกฎหมายสูงสุด แต่ว่ามี 3 สิ่งข้างต้นหรือไม่ 3 สิ่งข้างต้นถือเป็นองค์ประกอบของรัฐธรรมนูญของประเทศที่เป็นประชาธิปไตย เป็นองค์ประกอบของรัฐธรรมนูญ หากขาดข้อใดข้อหนึ่งก็ไม่เป็นประชาธิปไตย
     ระบบการเมืองเป็นตัวสะท้อนถึงอำนาจอธิปไตย ซึ่งระบบการเมืองในโลกนี้มี 2 แบบ คือ ระบบประธานาธิบดี และระบบรัฐสภา
          ระบบการเมืองเป็นตัวแบ่งอำนาจอธิปไตย คือ ระบบรัฐสภาเกี่ยวข้องอย่างไรกับอำนาจอธิปไตย ระบบประธานาธิบดีเกี่ยวข้องอย่างไรกับอำนาจอธิปไตย
          ไทยมีรัฐธรรมนูญหรือไม่ แล้วเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ มีข้อจำกัดอำนาจรัฐ ข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ หลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตย อยู่มาตราไหน ถ้าตอบได้ แสดงว่าไทยมี แต่หากขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่เป็นประชาธิปไตย
ระบบรัฐสภารัฐเป็นใหญ่ ระบบประธานาธิบดี ประธานาธิบดีเป็นใหญ่ (ดูรูปที่เป็นวงกลมในหนังสือ)
- 400 เป็น 375 ดีหรือไม่ สส.เขตลดลง ทำให้เกิดอะไรขึ้น?
- 80 เป็น 125 ดีหรือไม่ สส.ปาร์ตี้ลิสต์มากขึ้น ทำให้เกิดอะไรขึ้น?
          พรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของประเทศใดบ้างที่โดนยุบ คำตอบคือ ไม่มี มีแต่ประเทศไทยนี่แหละ สมัยก่อนคนรุ่นเก่าไม่รู้จักเรื่องยุบพรรค มีแต่ตอนปฏิวัติเท่านั้น พรรคการเมืองถือเป็นหัวใจของประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย เรื่องการยุบพรรคนั้นเพิ่งมีเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ประมาณ 5 ถึง 7 ปี หัวใจของระบบรัฐสภาอยู่ที่พรรคการเมือง พรรคการเมืองเป็นตัวตึก เป็นสถาบันทางการเมือง บทบัญญัติว่าด้วยการยุบพรรคที่ไม่ว่าจะทำอะไรผิดก็ยุบพรรค เป็นบทบัญญัติที่ไม่ควรจะมี กฎหมายรัฐธรรมนูญควรดูที่ทฤษฎีไม่ใช่ดูที่ข้อเท็จจริง จึงไม่ต้องการการมีส่วนร่วม
          อาจารย์ตั้งประเด็นว่า การแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยจะแบ่งแยกตามระบบการเมือง แต่ประเทศอังกฤษไม่มีรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการมีอยู่ของรัฐธรรมนูญจึงไม่เกี่ยวข้องกับระบบการเมือง(คนละเรื่องเดียวกัน)
           ระบบรัฐสภาให้ความสำคัญกับอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ กฎหมายรัฐธรรมนูญจึงไม่ต้องการการมีส่วนร่วม
          อาจารย์บอกว่า หมวดสิทธิเสรีภาพ หมวดพระมหากษัตริย์ จะบัญญัติอย่างไรก็ทำไป แต่เรื่องที่สำคัญคืออย่าเขียนเรื่อง นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ผิด เพราะทั้ง 3 เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้ความคิดในการร่าง กฎหมายรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษรเก่าแก่และยาวนาน ได้แก่ รัฐธรรมนูญของอเมริกา มีประชาชนคนไหนเข้าไปกาลงคะแนนบ้าง คำตอบคือไม่มี ร่างกันเพียงไม่กี่คน คือ โทมัส เจฟเฟอร์สัน,จอร์ช วอชิงตัน,อริสเดอ เฮมมิงตัน ร่างเสร็จก็ประกาศ อาจมีแก้ไขบ้างแต่ไม่มาก
          กฎหมายรัฐธรรมนูญของเราไม่มีความคงทน ต่อเนื่อง แม้ประชาชนจะมีส่วนร่วมแต่เมื่อไม่พอใจก็มีการปฏิวัติ ฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วก็ทำการแก้ไขใหม่
          ประเทศอังกฤษเป็นประเทศแห่งแม่แบบของรัฐธรรมนูญ แต่กลับไม่มีตัวรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญของอังกฤษอยู่ในรูปแบบของจารีตประเพณี ที่มีการปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นระยะเวลานาน มีการผูกโยงกันของอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ ดังนั้นการมีอยู่ของรัฐธรรมนูญไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เช่น หัวหน้าพรรคการเมืองเสียงข้างมากต้องเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นธรรมเนียม โดยที่ไม่ต้องบัญญัติไว้ แต่เป็นที่รู้กัน สรุปคือเป็นธรรมเนียม แต่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้
           ความมีอยู่ของรัฐธรรมนูญกับความเป็นระบบรัฐสภามันเป็นคนละเรื่องกัน สำคัญคือ ถ้าเป็นระบบรัฐสภา ความผูกโยงกันต้องผูกโยงกันอย่างถูกต้อง คือให้ความสำคัญกับ 3 อำนาจ แล้วชาวบ้านจะเข้าใจเรื่องการผูกโยงกันได้อย่างไร ประเทศอเมริกาไม่มีการถามชาวบ้าน
          ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ไม่มีวันส่งผู้ร้ายข้ามแดน ถ้าเป็นคดีการเมือง เพราะที่มาของความเป็นชาตินั้นมาจากการที่ทุกคนไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกดขี่ข่มเหง ประเทศอเมริกา มี 50 กว่ารัฐ กว้างใหญ่ไพศาลมาก เรื่องสิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องสำคัญ ให้ดูเรื่อง fundamental right and human right ดูว่าอะไรใหญ่กว่ากัน
           ประเทศอังกฤษ ญี่ปุ่น อเมริกา การเลือกตั้งนั้นเป็นสิทธิ ไม่ใช่หน้าที่เหมือนไทย เนื่องจากระบอบประชาธิปไตยเป็นเรื่องของความสมัครใจ มาเลเซียใช้วิธีจูงใจ ซึ่งสิทธิพวกนี้เป็น fundamental right
มาตรา 212 คนธรรมดาฟ้องศาลรัฐธรรมนูญได้
            กฎหมายรัฐธรรมนูญกับระบบการเมืองเป็นคนละเรื่องกัน ระบบการเมืองเป็นการจัดวางความสัมพันธ์ของอำนาจอธิปไตย ระบบรัฐสภา สภาต้องเป็นใหญ่ ระบบการเมืองนั้นวางไว้ก่อนแล้ว ตัวกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือรับใช้ระบบการเมือง แต่ของเราตรารัฐธรรมนูญโดยไม่มีใครถามว่าเขียนขัดกับหลักทฤษฎีหรือไม่ กฎหมายรัฐธรรมนูญจึงเป็นกฎหมายที่ไม่ต้องการการมีส่วนร่วม จึงไม่จำเป็นต้องมีการลงคะแนน
            อาจารย์ไม่เห็นด้วยกับการรับร่างรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ มาตรา 162 ว.2 แค่มาตราเดียวก็ไม่รับแล้ว เนื่องจากการเมืองระบบรัฐสภานั้น ให้ความสำคัญกับพรรคการเมือง พรรคต้องสั่ง สส.ได้ มติพรรคยิ่งใหญ่กว่าอิสระของผู้แทน แต่ยังดีที่ไม่มีสส.คนไหนอ่านมาตรา 162 ว.2 ถึงมีก็ยังไม่กล้า ถ้ามีเมื่อไหร่ เอาเรื่องไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญพรรคจะขับออกได้อย่างไร ดูมาตรา 65(3) มาตรา 10 กฎหมายพรรคการเมือง เมื่อมาตรา 162 ว.2 เบี้ยว มาตรา 10 ก็เบี้ยวตาม เมื่อแม่เบี้ยวลูกก็เบี้ยวตาม เนื่องจากเป็นการเขียนสนับสนุนความเป็นอิสระของสส. ทำให้เห็นว่าการเมืองระบบรัฐสภาจะก่อปัญหาอย่างยิ่ง ทำให้เสถียรภาพในระบบรัฐสภาบรรลัย ในระบบรัฐสภาต้องใช้มติพรรคหรือวิป หากมีการขับ สส.ออกจากพรรค ศาลรัฐธรรมนูญ จะใช้อะไรตัดสินให้กลับเข้ามา ก็ใช้มาตรา 65 ,162 ว.2,10,122
          มาตรา 177 ว.2 ห้ามรัฐมนตรีที่เป็น สส.ด้วยลงคะแนน แต่หลักของอังกฤษ คือการสวมหมวก 2 ใบ คือเป็นทั้งสส.และรัฐมนตรีได้ แต่มาตรา 177 ว.2 กลับห้ามลงคะแนน 
          ห้ามยุบสภาในเวลาที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งจริงๆแล้วการยุบสภากับการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นของคู่กัน กรณีของพลเอกเปรม เป็นนายกคนเดียวที่ไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใย เพราะยุบหนีซะก่อน ซึ่งไม่เป็นการเสียหาย เพราะการยุบสภาเป็นเครื่องมือตอบโต้ของการอภิปราย แต่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติห้ามยุบสภาหนีไว้ แต่บัดนี้ได้ทำลายหลักการนี้ไปแล้ว ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 158 เพราะร่างจากข้อเท็จจริง คือหากปล่อยให้มีการอภิปรายก็จะมีนายกยุบสภาหนี จึงเขียนห้ามไม่ให้ยุบสภาหนีไว้ แต่หารู้ไม่ว่าการยุบสภาไม่เกี่ยวกับหนีไม่หนี แต่มันเป็นเครื่องมือที่สำคัญซึ่งเรียกว่า collective responsibility : หลักการโต้ตอบของรัฐ
          มีคนพูดว่าสภาต้องมีความผิดถึงยุบได้ แต่หารู้ไม่ว่าแม้ไม่มีความผิดก็ยุบได้
รัฐธรรมนูญ 50 เป็นรัฐธรรมนูญที่ทำลายระบบรัฐสภา
          17 สิงหาคม อาจารย์ไปถามป้าร้านกาแฟว่ารับร่างรัฐธรรมนูญ 50 หรือไม่ ป้าบอกไม่รู้แต่สุดท้ายป้าก็บอกว่ารับ ด้วยเหตุผลว่า ลูกบอกให้รับ ป้าไม่มีความรู้เรื่อง มาตรา 162,177 ว.2,166 อาจารย์มองว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญ 50 นั้นไม่ถูกต้อง มีที่ไหนที่เอาประชาชนจบป.4 เข้าเต็นท์ แล้วเลือกว่ารับไม่รับ สิ่งที่ดอกเตอร์ร่าง ซึ่งในกรณีนี้ต่างกับฝรั่งเศสที่ให้ประชาชนมาลงประชามติ เนื่องจากกรณีฝรั่งเศสเป็นกรณีที่ทำรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วมีคำถามที่ต้องถาม(single subject)คือมีประเด็นเดียว ที่จะต้องถามว่าจะต้องแก้หรือไม่ มีไทยที่เดียวที่เอาคนเข้าเต็นท์
บัดนี้องค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ได้ก้าวล่วงการทำงานของฝ่ายบริหาร
มาตรา 184,185
ทำไมการตราพระราชกำหนดต้องตรวจสอบโดยศาลรัฐธรรมนูญ นายกทุกคนอยากจะปลิดมาตรา184,185 ณ ตอนนี้การตราพระราชกำหนดไม่ง่ายแล้ว
ในระบบรัฐสภา สภาเท่านั้นที่ขี่ฝ่ายบริหาร
กระบวนการในการจัดทำรัฐธรรมนูญนั้นผิด เอามาถามชาวบ้าน ชาวบ้านก็ตอบไม่ได้ เป็นเพียงการตอบไปตามความรู้สึก เป็นความเห็นของคนส่วนใหญ่ แต่เสียงส่วนใหญ่บอกได้แต่เพียงว่าต้องการอะไร แต่อาจไม่ถูกต้อง
หลักความสูงสุดของรัฐสภา
1.รัฐบาลจะบริหารงานอยู่ได้ตราบเท่าที่รัฐสภาให้ความไว้วางใจ
หลักอยู่ที่สภาไม่ใช่ประชาชน อังกฤษไม่มีองค์กรอิสระ ให้ฝ่ายการเมืองตรวจสอบ คือให้สภาตรวจสอบ ซึ่งเป็นมาตรการของสภา แต่เราไปเอาประชาชนมาตรวจสอบได้อย่างไร ให้ศาลตรวจสอบก็ไม่ได้ 2.รัฐบาลมาจากเสียงข้างมาก ฝ่ายค้านจะล้มรัฐบาลไม่ได้อยู่แล้ว ได้แต่ตรวจสอบในทางการเมืองเท่านั้น
3.รัฐสภาและรัฐบาลต่างตอบโต้กันได้
4.สมาชิกรัฐบาลมาจากสมาชิกรัฐสภา
5.รัฐบาลและรัฐสภาร่วมกันกำหนดนโยบายในการบริหารประเทศ

มาตรา 141 การตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
          ลำดับศักดิ์ของกฎหมายมี รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา ประกาศ
การที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญสูงกว่าพระราชบัญญัติ เพราะ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบ >การตรวจสอบก่อนตราออกมาเป็นกฎหมาย(ตรวจสอบแบบนามธรรม) และการตรวจสอบภายหลังคือตราออกมาเป็นกฎหมายแล้ว (ตรวจสอบแบบรูปธรรม)
มีเลขมาตราใดบ้างที่แสดงกลไกการควบคุมของรัฐ?
          หากยิ่งเอาอำนาจรัฐออกไป เพิ่มอำนาจองค์กรอื่นจะเป็นการขัดต่อระบบรัฐสภา ไม่มีอะไรใหญ่กว่ารัฐสภา รัฐสภาเท่านั้นที่เอานายกออกได้ ของไทยเขียนอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญผิด เขียนเกินกว่าที่ศาลรัฐธรรมนูญควรจะมี สิ่งเดียวที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคือ การควบคุมกฎหมายไม่ให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ในอำนาจใดของอำนาจอธิปไตย?
          รัฐธรรมนูญ 40 ตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาเพื่อนเล่นงานรัฐบาล
         อาจารย์บอกข้อสอบไล่อาจถามเรื่อง จากการที่เปลี่ยนแปลงที่มาของสส.เป็น…………ท่านเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่มาดังกล่าว แต่ยังคงตัวเลขการอภิปรายไม่ไว้วางใจไว้ 1 ใน 5,1 ใน 6 ท่านเห็นว่าสอดคล้องกับระบบรัฐสภาหรือไม่อย่างไร คำตอบคือ ยิ่งสส.มีจำนวนน้อยหรือไม่กี่คน แล้วสามารถอภิปรายได้ ถือว่าสอดคล้องกับระบบรัฐสภา เนื่องจากต้องการให้ตรวจสอบฝ่ายบริหารได้โดยง่าย
          ในเยอรมัน ไม่มากรแยกทั้งคณะและรายบุคคล แต่สามารถอภิปรายรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ทุกคน ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันตรวจสอบดูว่ามีกฎหมายใดขัดต่อกฎหมายขั้นพื้นฐานบ้าง และไม่ให้กฎหมายมลรัฐขัดกับกฎหมายสหพันธรัฐ ไม่ให้กฎหมายสหพันธรัฐขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศ
          ในฝรั่งเศสคณะตุลาการฝรั่งเศสเรียกว่าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ฝรั่งเศสไม่ใช่รูปแบบศาล แต่เป็นรูปแบบองค์กรทางการเมือง จะมีการตรวจสอบกฎหมายโดยตรวจสอบก่อนที่กฎหมายจะตรา และตรวจสอบภายหลัง ฝรั่งเศสไม่มีศาลเลือกตั้ง เลยใช้คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทนศาลเลือกตั้ง
          ของไทยให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญมาขี่ฝ่ายบริหาร อะไรๆก็ให้ศาลตรวจสอบ เช่นเรื่องลูกจ้างกรณีอดีตนายกสมัครก็ให้ศาลตรวจสอบ
( อ่านเรื่องศาลรัฐธรรมนูญภิวัฒน์ อยู่ในหนังสือของอาจารย์ มาตรา 243,246,252,231,206 )
          มาตรา 237,267,68,184,185,194 มาตราเหล่านี้ในต่างประเทศไม่มี เมื่อต้นฉบับไม่มีแล้วไทยจะมีได้อย่างไร เมื่อเราไปใส่อำนาจแบบนี้ ทำให้เป็นการตีโป่งอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญออกไป
หลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญไม่ใช่หลักความสูงสุดของรัฐสภา
          ตุลาการภิวัฒน์ : หากอำนาจนิติบัญญัติขัดกับอำนาจบริหาร ให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน นั้นมันไม่ถูกต้อง การใช้อำนาจอธิปไตยต้องมีฐานมาจากประชาชน อำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ ถ้าศาลจะเข้าไปตรวจสอบตรงนั้นต้องเปลี่ยนที่มาของศาลก่อน คือต้องให้ศาลมีที่มาจากประชาชน ใน 5 ข้อที่จดไปนั้น มีคำว่าตุลาการอยู่ตรงไหนบ้าง สรุปแล้วไม่มีเลย หลักการปกครองระบบรัฐสภา คือ การหลอมรวมระหว่างนิติบัญญัติกับบริหาร(สวมหมวก2ใบ) แต่บัดนี้เราใส่มั่วไปหมด เช่น เอาฝ่ายตุลาการไปตรวจสอบฝ่ายบริหาร.
หลักความสูงสุดของรัฐสภา  มี    ประการ
๑.     รัฐบาลจะบริหารงานอยู่ได้ตราบเท่าที่รัฐสภาให้ความไว้วางใจ
๒.     รัฐบาลมาจากเสียงข้างมาก
๓.     รัฐบาลและรัฐสภาต่างตอบโต้ซึ่งกันและกันได้
๔.     สมาชิกรัฐบาลมาจากสมาชิกรัฐสภา
๕.     รัฐสภาและรัฐบาลร่วมกันกำหนดนโยบายบริหารประเทศ

หลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ 
มี    ข้อ  ซึ่งทั้งสองหลักไม่จำเป็นต้องไปด้วยกัน  แต่อาจจะอยู่ด้วยกันก็ได้  เช่นประเทศเยอรมัน  ประเทศเยอรมันมีหลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ  และหลักสูงสุดของรัฐสภา  ญี่ปุ่นมีทั้งสองอย่าง  แต่ประเทศอังกฤษมีเฉพาะหลักความสูงสุดของรัฐสภา  แต่ไม่มีหลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ การจะรู้ว่ามีหลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญหรือไม่ให้ดูจากหลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ   ข้อ  ดังนี้
๑.     รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด
๒.     รัฐธรรมนูญต้องเป็นลายลักษณ์อักษร
๓.     กระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญต้องแตกต่างจากการยกร่างกฎหมายอื่น
๔.     กระบวนการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญต้องแตกต่างจากการแก้ไขกฎหมายอื่น
๕.     รัฐธรรมนูญเป็นบทบัญญัติที่ใช้ตีความกฎหมายในศาล
๖.     รัฐธรรมนูญต้องมีองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ
๗.     การแก้ไขรัฐธรรมนูญ (การละเมิดรัฐธรรมนูญ)  ทำได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น
๘.     คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร
๙.     ต้องมีระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ
การจะดูว่าเมืองไทยมีหลักความสูงสดของรัฐธรรมนูญหรือไม่ก็ให้ดูว่าเมืองไทยมีเลขมาตราหรือไม่  เช่น
-         มาตราที่แสดงหลักความเป็นกฎหมายสูงสุด  มาตรา    
-         คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร  มาตรา  ๒๑๖
-         การละเมิดรัฐธรรมนูญทำได้แต่โดยฝ่ายนิติบัญญัติ  มาตรา  ๒๙๑
          ถ้าหาครบทั้ง    ข้อ  ก็หมายความว่าเมืองไทยมีหลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ  ซึ่งคำตอบก็คือเมืองไทยมีหลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ  เพราะฉะนั้นหลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญต้องมีระบบตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ  หรืออาจจะเรียกสั้น    ว่า  การตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ”  นั้นก็คือ  ระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ”  ซึ่งมีวิวัฒนาการมาจาก
Mabury  V  Madison           อาชญากรสงคราม            คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ            ศาลรัฐธรรมนูญ
ประเทศไทยเราเริ่มจาก คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ  พ.ศ.๒๔๘๙  -  ๒๕๔๐      ศาลรัฐธรรมนูญ  พ.ศ.๒๕๔๐  -  ปัจจุบัน
           ทั้งหมดนี้เรียกว่าวิวัฒนาการของระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ
            ถ้าประเทศเป็น  Constitutionalism  คือประเทศที่ให้ความสำคัญกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ  กฎหมายรัฐธรรมนูญต้องคงทนยาวนานต่อเนื่อง  ก็ต้องมีองค์กรที่ทำหน้าที่  ในเยอรมันมีสำนักงานชื่อสำนักงานพิทักษ์รัฐธรรมนูญ  ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีอยู่แล้ว  แต่มีสำนักงานพิทักษ์รัฐธรรมนูญ  โดยมีเจ้าหน้าที่ค้นหากฎหมาย  ข้อบังคับ  กฎระเบียบ  ที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ  เพื่อให้สำนักงานพิทักษ์รัฐธรรมนูญส่งเรื่องไปตรวจสอบยังศาลรัฐธรรมนูญว่าขัดกับกฎหมายขั้นพื้นฐาน  (Basic  Law)  หรือไม่  นี่คือสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ว่าถ้าเมืองไทยเป็นระบบรัฐสภาอาจไม่จำเป็นต้องมีหลักความสูงสุดของกฎหมายรัฐธรรมนูญแต่เรามี 
            สหรัฐอเมริกาแม้ไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ  แต่เขาใช้ศาลสูงทำหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ
ภาษาอังกฤษที่ใช้ศึกษาในวิชานี้ที่เน้นมากมีทั้งหมด  ๑๙  คำ  แยกได้เป็น    ประเภท
            ระบบรัฐสภา
๑. Check  and  Balances  การถ่วงดุลอำนาจระหว่างนิติบัญญัติกับบริหาร
๒. Collective  Responsibility  การตรวจสอบซึ่งกันและกัน
๓. Bipolar  Distinction  การหลอมรวมอำนาจ  (ระหว่างนิติบัญญัติกับบริหาร)  ,  การผูกโยงอำนาจของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ
๔. Strong  Legislation ฝ่ายนิติบัญญัติเข้มแข็ง
๕. Constitutionalism  รัฐธรรมนูญนิยม
๖. Supremacy  of  the  Law  หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ
๗. Supremacy  of  the  Parliament  หลักความสูงสุดของรัฐสภา
๘. Parliamentary  system  ระบบรัฐสภา

ระบบประธานาธิบดี
๙. Strong  Executive  หลักความเข็มแข็งของฝ่ายบริหาร
๑๐. Separation  of  Power  หลักการแบ่งแยกอำนาจ
๑๑. Strong  President  หลักประธานาธิบดีเข้มแข็ง
๑๒. Presidential  system  ระบบประธานาธิบดี

Common Law
๑๓. Judicial  Review  การตรวจสอบระหว่างศาล  ,  การเข้าตรวจสอบโดยสถาบันตุลาการ
๑๔. Judge  Make  Law  คำพิพากษาศาลเป็นกฎหมาย
๑๕. Judicial  Making  Policy  การวางนโยบายของศาล
๑๖. Constitution  Convention  รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี

หลักสากล
๑๗. Political  Question  Doctrine  หลักการศาลไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง
๑๘. Judicial  Selftraint  ศาลสละอำนาจทางการเมือง  ,  หลักการศาลไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง
๑๙. Act  of  Government  การกระทำของรัฐบาล  (ศาลปกครอง)
          ขอฝากเป็นการบ้านให้นักศึกษาไปอ่านเกี่ยวกับการเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในหนังสือเรียนบทที่   การเลือกตั้งประธานาธิบดี  (หน้า  ๑๙๖ ๒๑๑) เผื่อข้อสอบออกว่า  ท่านเห็นว่าการเป็นประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรีอะไรเป็นง่ายเป็นยากกว่ากัน  จงอธิบาย”  โดยนักศึกษาต้องมีความรู้ก่อนว่ากระบวนการเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างไร  และกระบวนการเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นอย่างไร  ท่านจึงจะสามารถเขียนบทความนี้ได้  ซึ่งคำตอบก็คือการเป็นประธานาธิบดียากกว่า  คิดง่าย    นายกรัฐมนตรีเลือกโดยคน  ๕๐๐  คน  แต่ประธานาธิบดีเลือกโดยคนทั้งประเทศ  ดังนั้นการเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีจึงไม่ใช่เรื่องง่าย    ให้นักศึกษาไปดูเผื่อจะออกเป็นข้อสอบ
          อีกหัวข้อหนึ่งที่อยากจะให้ไปดูคือบทบาทของพรรคการเมืองในประเทศที่ปกครองในระบบรัฐสภากับบทบาทของพรรคการเมืองในประเทศที่ปกครองระบบประธานาธิบดีว่าแบบไหนมีความสำคัญมากกว่ากัน  ข้อสรุปก็คือ  พรรคการเมืองในประเทศที่ปกครองในระบบรัฐสภามีบทบาทมากกว่า  ข้อสอบถามอย่างไรจงอธิบาย  ก็ต้องตอบว่า มี  กระทู้  ญัตติ  กรรมาธิการ  อภิปราย     ถอดถอน  อะไรก็แล้วแต่ที่ว่ารัฐบาลจะบริหารงานอยู่ได้ตราบเท่าที่สภาให้ความไว้วางใจ  คือตราบเท่าที่พรรคการเมืองในสภาให้ความไว้วางใจ  โดยผู้ประสานงาน  (VIP)  มีมติพรรค  อันนี้มีความสำคัญมาก  เพราะฉะนั้นพรรคการเมืองในประเทศที่ปกครองระบบรัฐสภาจึงมีบทบาทมากกว่าพรรคการเมืองในประเทศที่ปกครองระบบประธานาธิบดี  เพราะทันทีที่ประธานาธิบดีได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีก็จะสลัดพรรคการเมืองทิ้งทันที
          ฉะนั้นบทบาทของพรรคการเมืองในประเทศที่ปกครองระบบรัฐสภาต้องมีบทบาทมากกว่าในประเทศที่ปกครองระบบประธานาธิบดี  เพราะหากสังเกตรัฐธรรมนูญของประเทศที่ปกครองระบบรัฐสภาจะเห็นว่ามีกลไกของพรรคการเมืองให้ตรวจสอบรัฐบาล  มีกลไกของพรรคให้ตรวจสอบฝ่ายบริหารมากกว่า  ส่วนระบบประธานาธิบดีไม่มีอภิปรายไม่ไว้วางใจ  ไม่มีญัตติยื่นขึ้นไปเพื่อตรวจสอบ  ไม่มี  ๒/๓ หรือ  ๑/๕  จะไปเล่นงานประธานาธิบดี  สรุปไม่เกี่ยวกันเพราะเป็นระบบที่แยกกัน  ประธานาธิบดีจะอยู่จนครบวาระ  เพราะถือว่ามาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง  ประชาชนก็เป็นคนตรวจสอบแม้จะมี  Impeachment  (ให้ไปดูเอง)  ก็ไม่ใช่เครื่องมือตรวจสอบของสภาคองเกรสที่จะตรวจสอบประธานาธิบดี  เพราะไม่ต้องตรวจสอบ  ต่างคนต่างอยู่ 
          ดังนั้นองค์กรอิสระเกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส  ความหมายก็คือฝรั่งเศสมีทั้งประธานาธิบดีมีทั้งนายกรัฐมนตรี  มีทั้งสองแบบ  แต่ประธานาธิบดีของฝรั่งเศสมีอำนาจมากสามารถแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรี  และสามารถยุบสภาได้  การที่ประธานาธิบดีของฝรั่งเศสมีอำนาจมากการปกครองของฝรั่งเศสจึงเป็นระบบประธานาธิบดี  ถ้าถามว่าใครจะตรวจสอบประธานาธิบดี  ในฝรั่งเศสจึงมีการตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาเหมือนกับว่าคอยตรวจประธานาธิบดี  แล้วสหรัฐอเมริกาก็นำเอาองค์กรอิสระของฝรั่งเศสไปใช้  รูปแบบที่สหรัฐอเมริกาเอาไปใช้เรียกว่า  “Recall”  เป็นการตรวจสอบหรือถอดถอนผู้บริหารระดับสูง  แต่เอาเข้าจริง  Recall  ก็ไปไม่ถึงประธานาธิบดีมักจะเป็นระดับผู้ว่าการรัฐ  นายกเทศมนตรี  ข้าราชการระดับสูง  เอาเข้าจริงแล้วสหรัฐอเมริกาก็กอดอยู่กับหลักการแบ่งแยกอำนาจอย่างเด็ดขาด  เขาไม่ได้สร้างระบบให้ฝ่ายนิติบัญญัติไปตรวจสอบฝ่ายบริหาร  ถึงแม้จะมีความคลางแคลงใจในฝรั่งเศส  ฝรั่งเศสตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาแล้วสหรัฐอเมริกาเอาตาม  แต่ก็ยังไม่สามารถตรวจสอบประธานาธิบดีได้
          แต่ประเทศไทยซึ่งอยู่ในระบบรัฐสภากลับตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาตรวจสอบฝ่ายบริหาร  (แทนฝ่ายนิติบัญญัติ)   ซึ่งขัดกับการแบ่งแยกอำนาจแน่นอนตามรัฐธรรมนูญปี  ๒๕๔๐  ต่อมารัฐธรรมนูญปี  ๒๕๕๐  นอกจากให้อำนาจองค์กรอิสระแล้วยังให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ  และศาลปกครองอีกด้วย  แล้วสภานิติบัญญัติอยู่ตรงไหน  เมื่อการทำงานไม่มีประสิทธิภาพจึงต้องมีการเสริมสร้างการทำงานของสภานิติบัญญัติ  หมายความว่า  กระทู้ต้องได้ผล  ญัตติต้องได้ผล  กรรมาธิการต้องได้ผล  อภิปรายต้องได้ผล  ถอดถอนต้องได้ผล  แต่ไม่ต้องไปถึงถอดถอนก็ได้  เอาแค่อภิปรายก็เหมือนอังกฤษเขาไม่มีการถอดถอนมีแค่อภิปรายไม่ไว้วางใจ  นี้คือ  Strong  Executive
          Check   and  Balances  คือการถ่วงดุลอำนาจซึ่งอยู่ในระบบรัฐสภาไม่ใช่การแบ่งแยกอำนาจเพราะนั้นอยู่ในระบบประธานาธิบดี  การถ่วงดุลอำนาจเป็นการถ่วงดุลอำนาจระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับบริหาร  หัวใจของระบบรัฐสภาอยู่ตรงการตรวจสอบฝ่ายนิติบัญญัติของฝ่ายบริหาร 
          Bipolar Distinction  เป็นการหลอมอำนาจระหว่างนิติบัญญัติกับบริหาร  คือต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน  ดังสำนวนฝรั่งที่ว่า  สวมหมวกสองใบ”  คือใบหนึ่งเป็น ส.ส.  อีกใบหนึ่งเป็นรัฐมนตรี  เพราะฉะนั้นจึงแยกกันไม่ออกระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหาร  ตามที่บอกไปแล้วว่ารัฐบาลจะบริหารงานอยู่ได้ตราบเท่าที่สภาให้ความไว้วางใจ  จึงขึ้นอยู่กับรัฐสภา  ฉะนั้นการถ่วงดุลอำนาจจึงเป็นการถ่วงดุลอำนาจกันระหว่างสองอย่าง  โดยฝ่ายนิติบัญญัติมีกระทู้  ญัตติ  กรรมาธิการ  อภิปราย  ถอดถอน  ฝ่ายบริหารก็มีการยุบสภา  (ม.๑๐๘)  ซึ่งสามารถยุบได้แม้ไม่มีความผิด  เพราะการยุบสภาเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีเอาไว้ตอบโต้กับฝ่ายสภา  จึงไม่ควรเขียนให้การยุบสภาทำได้ยาก  ยุบครั้งเดียว  การยุบสภาเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีเหมือนการตราพระราชกำหนดซึ่งเป็นความสะดวกของฝ่ายบริหารตามที่เคยเรียนกันว่า  จำเป็น  เร่งด่วน  ฉุกเฉิน  เพื่อป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ  ก็สามารถออกกฎหมายได้  กฎหมายที่ฝ่ายบริหารออกในเวลาจำเป็นหากสภาปิด  โดยมากก็เป็นเรื่องการเงินการคลังทั้งหลาย  เขาเรียกว่า  พระราชกำหนด”  แต่บัดนี้ไม่มีความสะดวกแล้วเพราะมาตรา  ๑๘๔  ,  ๑๘๕  ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญเข้ามายุ่ง 
           ดังนั้นให้นักศึกษาเข้าใจไว้ว่าความจริงต้องตอบโต้กันได้ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร  แต่บัดนี้เราพบว่ามีสิ่งที่ทำให้ไม่สามารตอบโต้กันได้โดยง่าย  เมื่อไม่ตอบโต้กันได้โดยง่ายจึงไม่  Collective  Responsibility  คือต้องให้ตรวจสอบได้โดยง่าย  ทำอย่างไรต้องให้ Collective  Responsibility  สำหรับการไม่ไว้วางใจ  คือต้องลดจำนวนเสียงให้น้อยลง  อย่าแยกทั้งคณะ  อย่าแยกรายบุคคล  ยิ่งตรวจสอบได้ง่ายขนาดไหนยิ่งสอดคล้องกับระบบรัฐสภาได้ขนาดนั้น  แต่ขอย้ำว่ารัฐบาลไม่แพ้อยู่แล้ว  เพราะรัฐบาลคือเสียงข้างมาก  แต่ประโยชน์ของระบบรัฐสภาอยู่ที่ว่านิติบัญญัติได้ตรวจสอบ
ประเทศไทยมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในรัฐธรรมนูญ  (ปี  ๒๕๕๐)    ประการ  (อาจจะออกเป็นข้อสอบ)
๑.     มีการนำข้อเท็จจริงมาร่างกฎหมาย
๒.     มีการนำสิ่งที่อยู่ในระบบกฎหมายอื่นมาใส่ในการเมืองระบบรัฐสภา
๓.     มีการนำสิ่งที่อยู่ในระบบประธานาธิบดีมาใส่ในระบบรัฐสภา
          ทั้ง    ข้อนี้คือสิ่งที่อาจารย์อยากจะนำเสนอให้เห็นสิ่งแปลกปลอมของรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๕๐  และเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรู้  (เพราะอาจออกเป็นข้อสอบไล่)  และจะต้องนำไปตรวจดูว่ารัฐธรรมนูญมาตราไหนที่มีสิ่งแปลกปลอม    อย่างนี้    อย่างเช่นการเอาข้อเท็จจริงมาร่าง  การเอาสิ่งที่อยู่ในระบบกฎหมายอื่นมาใส่ในระบบรัฐสภา
           Collective Responsibility  เป็นหัวใจของระบบรัฐสภา  อาจารย์เคยเขียนบทความเมื่อประมาณปี  ๒๕๔๘-๒๕๔๘  ไว้ในสรรพากรสารเรื่อง  “Collective Responsibility”  อาจารย์อาจถามว่า  มันคืออะไร  มีอยู่หรือไม่ในรัฐธรรมนูญไทย  ถ้ามีจงแสดงให้ปรากฏ”  ซึ่งมันคือหลักการตอบโต้ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร  มีอยู่หรือไม่ในรัฐธรรมนูญไทย  ตอบว่ามีคือ  กระทู้  ญัตติ  กรรมาธิการ  อภิปราย  ถอดถอน  ส่วนฝ่ายบริหารก็มีการยุบสภา  หรือตราพระราชกำหนด  แสดงให้ปรากฏก็ให้ไปดูว่ามีเรื่องเหล่านี้ในรัฐธรรมนูญกำหนดว่าอย่างไร
          Bipolar Distinction  การหลอมอำนาจ  หัวใจอยู่ที่อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร  ส่วนอำนาจตุลาการแม้ตำราฝรั่งจะรวมว่าเป็นอำนาจหนึ่งในวงกลมที่อยู่ทับกัน  แต่ตุลาการของอังกฤษมีที่มาจากประชาชนต่างจากไทย  ฉะนั้นของไทยจึงหมายถึงนิติบัญญัติกับบริหารส่วนตุลาการไม่เกี่ยว  ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญ  ศาลปกครอง  จึงไม่อยู่ใน    อำนาจนี้  ความจริงอำนาจขององค์กรอิสระต่าง    ควรยุบรวมมาอยู่ที่กรรมาธิการ   เพราะกรรมาธิการก็คือ ส.ส.  ซึ่ง ส.ส. ก็คือสภานิติบัญญัติที่จับคู่ล้อกับกระทรวงต่าง    อยู่แล้ว
           Strong  Executive  ,   Strong  President  ประธานาธิบดีเข้มเข็ง  ประธานาธิบดีเป็นผู้บริหารเป็นผู้สั่งการตัดสินใจเองทั้งสิ้น  มีเพียงที่ปรึกษาเท่านั้น  โดยรัฐมนตรีรับผิดชอบต่อประธานาธิบดี  ส่วนประธานาธิบดีรับผิดชอบต่อประชาชน  เพราะรัฐมนตรีประธานาธิบดีเป็นคนแต่งตั้ง  แต่รัฐมนตรีในระบบรัฐสภารับผิดชอบต่อสภา  (รวมนายกรัฐมนตรี)  แล้วสภารับผิดชอบต่อประชาชน
          Constitution  Convention  อยู่ในประเทศอังกฤษ  เพราะอังกฤษไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร  ถือปฏิบัติมายาวนานจึงไม่ต้องตาย  ไม่ต้องตีความ  ถามว่าถ้าต้องการให้รัฐธรรมนูญของไทยมีชีวิตเหมือนรัฐธรรมนูญของอังกฤษ  คือลดการตีความ  ไม่ตาย  ไม่ตัน  ไม่ต้องตีความ  ไม่ต้องเกิดการขัดแย้ง  เราจะทำอย่างไร  ในเมื่อประเทศไทยรัฐธรรมนูญต้องเป็นลายลักษณ์อักษร  ไม่เหมือนกับอังกฤษที่ไม่มีตัว  จึงไม่มีการขัดแย้ง  เพราะไม่ติดกับกรอบ  ไม่ติดกับเลขมาตรา 
          ที่จริงในรัฐธรรมนูญที่ควรใส่จริง    มีเพียง    หลักเท่านั้น  ดังนั้นหากจะทำให้รัฐธรรมนูญมีชีวิตต้องทำให้มีมาตรา    ....ในเมื่อไม่มีการเขียนไว้  ไม่มีการปฏิบัติ  ให้ถือเอาการปกครองในระบอบประชาธิปไตย....”  อาจกล่าวได้ว่ามาตรา    เป็นการทำให้รัฐธรรมนูญมีชีวิต  คือหากไม่มีกฎหมายก็ให้ถือเอาการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เหมือนมาตรา    ในประมวลกฎหมายแพ่ง  คือการมีมาตรา    สามารถแก้ปัญหาได้  ส่วนตัวที่เปิดช่องให้ต้องส่งเรื่องในเวลาที่เกิดปัญหา  การเขียนอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญยิ่งมีมากเท่าไรก็จะไปยุ่งเกี่ยวกับหลักการแบ่งแยกอำนาจแต่ถ้าตัดอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญให้น้อยลงเหลือเพียง  ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ”  นี่คือการทำให้รัฐธรรมนูญมีชีวิตสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง
          Act  of  Government  การกระทำของรัฐบาล  (ศาลปกครอง)  ไม่ควรที่ศาลปกครองจะก้าวล่วง  เพราะอำนาจของศาลปกครองไม่อยู่ในรัฐธรรมนูญ  แต่อยู่ในกฎหมายลูกซึ่งจะไม่ขออธิบายในวิชานี้
          ในส่วนของอาจารย์จะเน้นเจาะเลขมาตราคือให้ความเห็นว่ามีเลขมาตราไหนไม่สอดคล้องกับระบบรัฐสภา  ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในบทความที่อาจารย์เขียนเรื่อง  ***“ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี  ๒๕๕๐”  (ในหนังสือหน้า  ๓๒๕ ๓๒๙)***  ซึ่งจะเน้นมาตราที่ไม่สอดคล้องกับระบบรัฐสภา  โดยหัวใจจะอยู่ที่หลัก  Collective  Responsibility  เป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการตรวจสอบเวลาที่เราจะตรวจสอบให้ดูว่าเลขมาตราไหนในรัฐธรรมนูญที่ไม่สอดคล้องก็คือเลขมาตราที่ออกแบบให้ฝ่ายนิติบัญญัติตรวจสอบได้ไม่เต็มที่  หรือเลขมาตราที่นำเอากฎหมายอื่นมา  เช่น
มาตรา  ๑๕๙  เกี่ยวกับการอภิปราย  ,  จำนวนเสียงที่ใช้เสนออภิปราย  โดยให้เปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญปี  ๒๕๔๐  กับ  ๒๕๕๐  ว่าแบบไหนการอภิปรายไม่ไว้วางใจทำได้ง่ายกว่า  โดยดูได้จากตัวเลขว่าแบบไหนตัวเลขน้อยกว่าแสดงว่าการอภิปรายทำได้ง่ายกว่า  เมื่อการอภิปรายทำได้ง่ายแสดงว่าสอดคล้องกับระบบรัฐสภา
มาตรา  ๑๕๘  ห้ามยุบสภาหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งถือว่าเป็นประเด็นที่ไม่สอดคล้อง  เพราะหัวใจที่สำคัญอยู่ที่การโต้ตอบซึ่งกันและกัน  ดังนั้นการที่เขียนในรัฐธรรมนูญที่ว่าห้ามยุบสภาหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ  เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าเป็นการร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญจากข้อเท็จจริง  คือการที่นายกรัฐมนตรีไม่อยากให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงยุบสภาหนีจึงบัญญัติห้ามยุบสภาหนี  นี่เป็นการร่างจากข้อเท็จจริงซึ่งไม่ถูกต้อง  แต่นี่เป็นเรื่องที่ว่าฝ่ายบริหารเอาเรื่องการยุบสภามาเป็นเครื่องมือการตอบโต้กับฝ่ายนิติบัญญัติ  (ต้องทำได้)  เพราะนี่คือมาตรการตอบโต้กันต้องสามารถทำได้
           ทั้งนี่อาจารย์ไม่เห็นด้วยที่มีการแยกอภิปรายทั้งคณะกับรายบุคคล  เพราะในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในกรณีของประเทศเยอรมันสามารถอภิปรายรัฐมนตรีได้ทุกคน  ซึ่งสอดคล้องกับระบบรัฐสภามากกว่า
           ฉะนั้นในกรณีมาตรา  ๑๕๘ ,๑๕๙  ประเด็นที่หนึ่งอยู่ที่การลดจำนวนเสียงที่จะเสนออภิปรายลง  และประเด็นที่สองต้องไม่ห้ามการยุบสภาหนีเพื่อตอบโต้กับฝ่ายอภิปรายไม่ไว้วางใจ  และไม่มีความจำเป็นต้องเสนอผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  เพราะการที่ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีขึ้นอยู่กับสภาไม่ใช่ฝ่ายค้าน
*** มาตรา  ๑๖๐  (เป็นมาตราที่ดี)  เพราะบัญญัติว่าแม้เวลาผ่านไปครึ่งเทอมแล้วสภาชิกรัฐสภาเหลืออยู่เท่าไรให้อภิปรายได้เท่านั้น  ซึ่งสอดคล้องกับระบบรัฐสภาที่เปิดโอกาสให้ฝ่ายนิติบัญญัติได้ตรวจสอบฝ่ายบริหารได้โดยง่าย
มาตรา  ๑๐๘  การยุบสภาต้องเขียนให้ทำได้โดยง่าย
มาตรา  ๑๗๔  (๖)  เป็นเรื่องคุณสมบัติของรัฐมนตรี  ที่ว่ารัฐมนตรีต้องไม่เป็นวุฒิสมาชิก  ถ้าเป็นสมาชิกวุฒิสภาจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างแน่นอน  สมาชิกวุฒิสภาก็คือสมาชิกสภานิติบัญญัติ  ในประเทศอังกฤษนั้นส.ว.เป็นรัฐมนตรีได้  แต่เป็นกระทรวงที่ไม่ค่อยมีบทบาท  หากประเทศไทยจะให้ส.ว.เป็นรัฐมนตรีก็ทำได้  เพราะสมาชิกรัฐบาลมาจากสมาชิกรัฐสภา  แต่ต้องบอกว่าการที่เขียนว่า  ม.๑๗๔  (๖)  ต้องไม่เป็นวุฒิสมาชิกดีตรงที่ว่าไม่ตัดส.ส.  เสดงว่าเป็นส.ว.ต้องห้าม  ส.ส.เป็นได้  คนนอกเป็นได้  จึงดีตรงที่ว่าไม่ห้ามส.ส.  เพราะรัฐธรรมนูญ  ๒๕๔๐  ห้ามส.ส.  รัฐธรรมนูญ  ๒๕๔๐  เป็นการแยกอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร  ส.ส.เป็นรัฐมนตรีไม่ได้นั้นเป็นระบบประธานาธิบดี  รัฐธรรมนูญ  ๒๕๔๐  ทำให้เป็นระบบประธานาธิบดีไม่ถูกต้อง  โดยเฉพาะประเด็นนี้ไม่ถูก  ดังนั้นการที่จะให้วุฒิสมาชิกเป็นก็ยังไม่ผิดแต่ผิดที่ไม่ห้ามคนนอก  เพราะคนนอกไม่ใช่คนของเรา  เพราะประชาธิปไตยต้องเป็น  by  the  people  ,  for  the  people  ,  of  the  people  (ของเรา)  แต่คนนอกไม่ใช่คนของเรา  คนที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐนั้นต้องมาจากการเลือกตั้ง  ฉะนั้นมาตรานี้ดีตรงที่ไม่ห้ามส.ส.  ไม่ดีตรงที่ว่าคนนอกยังเป็นได้อยู่
มาตรา  ๑๗๖  เรื่องการแถลงนโยบาย  การแถลงนโยบายต้องให้มีการลงคะแนน  เพื่อให้สอดคล้องกับระบบรัฐสภา  รัฐธรรมนูญ  ๒๕๑๗  การแถลงนโยบายให้มีการลงคะแนน  นี่คือนโยบายการเสริมสร้างการปกครองระบบรัฐสภา  คือยิ่งให้อำนาจกับสภามากเท่าไรยิ่งเป็นการเสริมสร้าง  ตัวอย่างเช่น  มาตรา  ๑๒๙  ๑๖๑  ,  ๑๗๙   เป็นมาตราที่ให้สภาสามารถอภิปรายได้  หรือพูดอีกอย่างคือการเปิดอภิปรายของวุฒิสภา  มาตรา  ๑๒๙  ,  ๑๖๑  ,  ๑๗๙  ***ต้องให้มีการลงคะแนน***  แต่การลงคะแนนนี้ต้องไม่เกี่ยวข้องกับการอยู่หรือไปของรัฐบาล  เพราะการลงคะแนนเปรียบเสมือนการฟังสภา  เป็นการเสริมสร้างการทำงานของสภานิติบัญญัติเท่านั้น
(หากอาจารย์จะถามว่า  ท่านสามารถระบุเลขมาตราของกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ไม่สอดคล้องกับระบบรัฐสภาได้หรือไม่  ถ้าได้จงระบุมา    ประเด็น)  (อาจเป็นข้อสอบไล่) 
          ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นการเสริมสร้างการทำงานของสภาทั้งสิ้น  ทั้งสามมาตราที่กล่าวมาต้องให้มีการลงคะแนน  เพราะการลงคะแนนเท่ากับการฟังสภา  แต่ไม่เท่ากับการอภิปรายไม่ไว้วางใจของวุฒิสภา  นี่ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ  เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจมีเพียง    มาตรา  คือ  มาตรา  ๑๕๘  ,  ๑๕๙   ๑๖๐  แต่เป็นมาตรการเสริมสร้างการทำงานของสภา เพื่อให้ฝ่ายบริหารรู้ว่าสภาไม่พอใจการทำงาน  และที่สำคัญที่สุดคือเป็นการฟ้องประชาชนว่าวุฒิสภาไม่พอใจ  ***แต่รัฐบาลยังคงอยู่ต่อไปได้***  เพราะไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจแต่เป็นการเสริมสร้างการทำงานของสภา
            แต่หากจะให้วุฒิสมาชิกสามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ก็สามารถทำได้แต่ต้องเปลี่ยนที่มาของส.ว.จากการเลือกตั้ง + สรรหา  (แต่งตั้ง)  เป็นเลือกตั้งทั้งหมด  (เหมือนรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐)  ก็สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจได้  เพราะวุฒิสมาชิกในระบบรัฐสภาไม่มีที่ไหนมาจากการแต่งตั้ง  โดยเฉพาะประเทศอังกฤษมีอำนาจเพียงกลั่นกรองกฎหมาย  เป็นพี่เลี้ยงเท่านั้น  แต่ของไทยมีอำนาจในการแต่งตั้ง  ถอดถอนองค์กรอิสระ  ตรวจสอบรัฐบาล  ซึ่งมากเกินไป
            ที่มาของส.ส.  ส.ว.  ไม่เกี่ยวข้องกับระบบรัฐสภา  เพราะระบบรัฐสภาทั้ง    ข้อไม่มีคำว่าที่มาของส.ส.  หรือส.ว.  แต่ที่มาของส.ส.  ส.ว.  เป็นเพียงวิธีการเข้าสู่ตำแหน่ง
            ดังนั้นหากจะให้ส.ว.สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ต้องเปลี่ยนที่มาของส.ว.  ส่วนที่มาของส.ส.ต้องมีที่มาแบบเขตคือ  one man  one  vote  หากจะมี  Party  list  ต้องดูรูปแบบของรัฐเป็นแบบไหนการจัดแบ่งเขตเลือกตั้งต้องสอดคล้องตามนั้น  เช่น
Zone list  ใช้กับมลรัฐ  หรือรัฐรวม  คือการจัดกลุ่มเลือกตั้ง
            Nation list  ประเทศรัฐเดี่ยว  เช่นประเทศไทย  คือไม่แบ่งแยกทั้งประเทศเป็นพื้นที่เลือกตั้ง
*** การจัดการเลือกตั้ง  การจัดแบ่งเขตเลือกตั้งไม่เกี่ยวข้องกับระบบรัฐสภา ***  แต่เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย

        เลขมาตราที่ว่าด้วยคณะกรรมการการสรรหา
            มาตรา  ๒๓๑  กกต.  องค์ประกอบของคณะกรรมการการสรรหาซึ่งอยู่ในระบบ  
            มาตรา  ๒๔๖  ปปช.   ประธานาธิบดี  จึงไม่ควรมีในระบบรัฐสภา แต่หากจะมี
            มาตรา  ๒๔๓  ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาก็ให้ไปตรวจสอบการปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะนั้นคือ
            มาตรา  ๒๕๒  คตง. ระบบประธานาธิบดี ดังนั้นจึงไม่ควรมีในระบบรัฐสภา
            มาตรา  ๒๐๖  ศาลรัฐธรรมนูญ

มาตราที่ไม่สอคล้องกับระบบรัฐสภา
มาตรา  ๑๖๔  ถอดถอน  แต่ไม่ใช่การถอดถอนโดยประชาชน  เพราะต้องจบที่  มาตรา  ๒๗๐ , ๒๗๑ , ๒๗๒  โดยประชาชนเป็นผู้ยื่นนำส่งให้วุฒิสภาเป็นผู้ถอดถอน  เพราะให้ประชาชนเป็นผู้ถอดถอนเองจะเป็นระบบประธานาธิบดี  ไม่ใช่ระบบรัฐสภา
มาตรา  ๑๖๒  บรรทัดสุดท้าย , ๑๒๒  คือการให้ส.ส.มีอิสระ
มาตรา  ๑๗๑  การจำกัดวาระของนายกรัฐมนตรี
มาตรา  ๑๗๗  วรรคสอง  การห้ามส.ส.ที่เป็นรัฐมนตรีลงคะแนน
มาตรา  ๑๘๔ , ๑๘๕  อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ
มาตรา  ๒๓๗  , ๒๖๘  เรื่องการยุบพรรค  เพราะพรรคการเมืองเป็นหัวใจของระบบรัฐสภา
***การใส่เลขมาตราไม่จำเป็นในการเขียนสอบ  จำไม่ได้ไม่เป็นไร  แต่หากใครเขียนถูกจะได้คะแนนเพิ่ม  หากเขียนผิดถูกหักคะแนน***
          มาตรการเสริมสร้างการทำงานของสภานิติบัญญัติ  (เสริม Collective Responsibility ให้ดีขึ้น)
กระทู้  ต้องบังคับให้ตอบ  หากเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญ  ๒๕๔๐  กับ  ๒๕๕๐  จะพบว่ารัฐธรรมนูญ  ๒๕๕๐  บังคับมากขึ้นโดยพิจารณาจากมาตรา  ๑๕๖  ,  ๑๖๒  จะพบว่ามีการบังคับ  คือการวางข้อยกเว้นในการไม่ตอบกระทู้ต้องมีความจำเป็นและสำคัญจริง    จึงจะทำได้  แต่นอกจากนั้นแล้วจะบังคับให้ตอบ  ซึ่งถือว่าดี
ญัตติ  ไม่มีรายละเอียดในรัฐธรรมนูญ  แต่มีรายละเอียดอยู่ในข้อบังคับการประชุมส.ส. ๕๑  ข้อบังคับการประชุมส.ว.  ๕๑  ,  ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ๕๑  ซึ่งเป็นการใช้ข้อบังคับการประชุมมาควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติ  เพราะข้อบังคับเหล่านี้ให้อำนาจประธานในการประชุมสภามากเกินไป  ไม่ว่าจะเป็นการบรรจุ  การเลื่อน  การย้าย  การสลับ  หรือแม้แต่การควบคุมการประชุม  เหล่านี้เป็นการทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่สอดคล้องกับระบบรัฐสภา  หากต้องการให้สอดคล้องต้องลดอำนาจของประธานลง  หรืออาจจะมีกรอบที่สร้างการบังคับการใช้ดุลพินิจของประธาน
กรรมาธิการ   ควรเอาอำนาจขององค์กรอิสระมาให้กับกรรมาธิการ  แล้วกรรมาธิการควรเสริมให้มีอำนาจในการลงโทษข้าราชการ
- อภิปราย  ไม่ควรใช้เสียงมากเกินไปในการยื่นขออภิปราย  เพื่อส่งเสริมให้  Collective Responsibility   คือให้ตรวจสอบได้โดยง่าย   ยิ่งสภานิติบัญญัติสามารถตรวจสอบได้โดยง่ายขนาดไหนก็ยิ่งดี
ถอดถอน  มาตรา  ๑๗๑ , ๑๗๒ เห็นว่าไปเกี่ยวข้องกับ  ปปช.  กับอัยการสูงสุด  ซึ่งไม่ถูกต้องควรจะเอาออกให้หมด  แล้วให้วุฒิสภาทำหน้าที่ในการถอดถอน  ***แต่วุฒิสมาชิกก็ต้องเปลี่ยนที่มา*** 
การให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนละคนกับหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก  ***แต่ทั้งสองคนนี้ต้องอยู่ในพรรคเดียวกัน***  เพื่อให้หัวหน้าพรรคตรวจสอบได้อย่างเต็มที่ในเวลาประชุมพรรค
การยับยั้งกฎหมาย  เป็นพระราชอำนาจ  แต่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจแค่ยุบสภากับตราพระราชกำหนด  แต่ปัจจุบันการตราพระราชกำหนดต้องถามศาลรัฐธรรมนูญ  จึงดูประหนึ่งว่ามาตรการตอบโต้ของฝ่ายบริหารกับนิติบัญญัติ  ซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติมี   ประการ  แต่ฝ่ายบริหารยังคงเหลือเพียงแค่การยุบสภาเท่านั้น  อาจารย์จึงคิดว่าฝ่ายบริหารจึงควรมีอำนาจในการยับยั้งกฎหมาย
          ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเรื่องของมาตรการเสริมสร้างการทำงานของสภานิติบัญญัติ (หากข้อสอบออกมาว่าจงระบุมาว่ามีอะไรที่ไม่สอดคล้องบ้าง  ก็ให้ตอบตามเลขมาตราที่อาจารย์สอนมาทั้งหมด 
แล้วหากถามต่อมาว่าในฐานะที่ท่านศึกษาท่านเห็นว่ามีมาตรการใดในการเสริมสร้างการทำงานของรัฐสภา   ก็ให้ตอบถึงมาตรการดังกล่าว)
                                               %%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง  ๒๕๕๐
          หากกฎหมายรัฐธรรมนูญดีก็จะทำให้กฎหมายพรรคการเมืองดี  แต่กฎหมายพรรคการเมืองปัจจุบันมีบทบัญญัติว่าด้วยการยุบพรรคการเมืองมากซึ่งไม่เป็นผลดีต่อระบบรัฐสภา  เพราะการเมืองระบบรัฐสภาเป็นระบบการเมืองที่ให้ความสำคัญกับพรรคการเมือง  เพราะพรรคการเมืองเป็นหัวใจของระบบรัฐสภา  หากพบว่ามีบทบัญญัติที่ให้ยุบพรรคการเมืองมาก    นั่นคือระบบที่ทำลายพรรคการเมือง  ทำลายระบบรัฐสภา  ถ้าดูจากกฎหมายรัฐธรรมนูญก็เช่น  มาตรา  ๒๓๗  ,  ๖๘  ,  ๖๕  นี่คือบทหลักที่พูดถึงพรรคการเมือง  โดยเฉพาะมาตรา  ๖๕  ถือเป็นบทที่มีความสำคัญมาก  ถือได้ว่าเป็นหัวใจของเรื่องพรรคการเมือง   แม้มาตรา  ๖๕  วรรคสอง  ที่เขียนเรื่องความเป็นประชาธิปไตยของพรรคการเมือง  ก็ยังไม่มีกฎหมายพรรคการเมืองออกมารองรับว่าจะทำอย่างไรให้เป็นประชาธิปไตย  ยังพูดกันกว้าง    ระหว่างมติพรรคกับอิสระของส.ส.  แต่สิ่งสำคัญต้องที่ตัวพรบ.พรรคการเมือง  หากเปรียบเทียบทั้งสองฉบับคือฉบับ  ๒๕๔๑  กับ  ๒๕๕๐  ฉบับ  ๒๕๕๔  ไม่ได้แก้ไขอะไรมากส่วนใหญ่จะแก้ไขในเรื่องที่เกี่ยวกับรับจำนนวนส.ส.  และการมีส่วนร่วมของประชาชน  (ของสาขาพรรค)  ในการคัดเลือกบุคคลเพื่อเป็นตัวแทนของพรรค  แต่ไม่พูดถึงเรื่องการดำเนินกิจการทางการเมือง  ยังคงปล่อยให้เป็นตามพรบ.พรรคการเมือง  ๒๕๕๐  ยังไม่ค่อยแตะกับตัวของกฎหมายที่ว่าด้วยการดำเนินกิจการทางการเมือง  เช่นมาตรา  ๙๑ - ๙๔  เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการยุบพรรค  ซึ่งนับได้  ๑๘  ประเด็น  หากถามว่าบทบัญญัติพรรคการเมืองใดที่ต้องแก้ไข  ตอบว่าเรื่องการยุบพรรคทั้งหมด  ให้เหลือเพียง  การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย”  ซึ่งประเทศอื่น    จะไม่มีบทบัญญัติเรื่องการยุบพรรค  แต่จะมีบทบัญญัติว่าด้วยการขับออกจาการเป็นสมาชิกพรรค  แสดงให้เห็นว่ามติพรรคต้องยิ่งใหญ่กว่าอิสระของผู้แทน  คือพรรคต้องสามารถสั่งได้  การเมืองระบบรัฐสภาเป็นการเมืองที่ให้ความสำคัญกับพรรคการเมือง  ฉะนั้นหากเห็นเลขมาตราไหนของพรบ.พรรคการเมืองที่ทำลายพรรคการเมือง  เลขมาตรานั้นก็เป็นอุปสรรคต่อระบบรัฐสภา  เช่น  มาตรา  ๙๑ , ๙๔  โดยเฉพาะมาตรา  ๙๔  (๕)  มี  มาตรา  ๒๑  รับต่างด้าวเข้าพรรค  ,  ๔๓  ช่วยส.ว.หาเสียง  ,  ๖๕  รับเงินสกปรก  ,  ๖๖ รับเงินมาทำลายประชาธิปไตย  ,  ๖๙  รับเงินต่างประเทศ  ,   ๑๐๔  กลั่นแกล้งพรรคอื่น  ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะถึงข้อหายุบพรรค  เพราะพรรคเป็นสถาบันไม่รู้เรื่อง  แต่พฤติการณ์เหล่านี้ควรเล่นงานที่ตัวคน  ฉะนั้นมาตรา  ๙๔ (๕) ควรเอาออกให้หมด 
หากเปรียบเทียบกฎหมายพรรคการเมืองปี  ๒๕๔๑  กับ  ๒๕๕๐  จะพบว่า  ปี  ๒๕๔๑  มีสภาพบังคับ    อย่างคือ
- โทษทางแพ่ง
- โทษทางอาญา
- ยุบพรรค
- ห้ามตั้งพรรคใหม่เป็นเวลา    ปี  (ห้ามกรรมการบริหารพรรค)
แต่ปัจจุบันมีเพิ่มขึ้นมาอีก    อย่าง คือ
- โทษทางปกครอง
- เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง  ซึ่งการเพิ่มมานี่หากพิจารณาจากมาตรา    (๓)  ที่ให้ยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติ แต่ความจริงนำไปบัญญัติไว้ในมาตรา  ๙๘  เป็นเรื่องการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง   ไม่ใช่สิทธิทางการเมือง  (ให้นักศึกษาไปหามาว่า  สิทธิเลือกตั้ง กับ สิทธิทางการเมือง อันไหนใหญ่กว่ากัน)
มาตรา   (ดี)  เป็นเรื่องการจัดตั้งพรรคการเมือง  สืบเนื่องมาจากมาตรา  ๖๕  ของรัฐธรรมนูญ  อนุญาตให้มีการตั้งพรรคการเมืองได้โดยง่าย  ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี  เพราะพรรคการเมืองเป็นหัวใจของการเมืองระบบรัฐสภา  ยิ่งมากยิ่งดี  เพราะพรรคการเมืองคือ  ตัวแทนทางความคิด  ตัวแทนทางเจตจำนง  ตัวแทนทางความคิดของประชาชน  คนที่มีความเห็นในหลักการใหญ่    ในเรื่องการเมืองสังคมเดียวกันมารวมตัวกัน 
มาตรา    บรรทัดสุดท้าย  เรื่องของพรรคเมืองที่ถูกยุบ  ก่อนนี้มีปัญหาว่าพรรคการเมืองจะใช้ชื่อพรรคเดิมได้หรือไม่  มาตรานี้ห้ามใช้
มาตรา  ๑๐  (๑๐) , (๑๓)  (ดี)  พูดถึงรายได้ของพรรคการเมือง  แต่มีปัญหาตรงคำว่าข้อบังคับของพรรคการเมืองต้องไม่มีลักษณะหรือความมุ่งหมายต่อไปนี้  [วรรคสอง  (๒) ขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่โดยอิสระของส.ส.  มาจากรัฐธรรมนูญมาตรา  ๑๖๒  บรรทัดสุดท้าย  มาโยงกับมาตรานี้  ที่บอกว่ามติพรรคกับอิสระของส.ส.  ที่ว่าอิสระของผู้แทนยิ่งใหญ่กว่ามติพรรค  มาโยงกับมาตรานี้ที่ว่าขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่โดยอิสระของส.ส.  แสดงว่าทั้งสองมาตรานี้สอดรับกัน  คือส่งเสริมให้ส.ส.ไม่ต้องฟังมติของพรรคซึ่งถือว่าไม่ถูกต้อง
มาตรา  ๑๖  บรรทัดสุดท้าย  (ดี) ให้พรรคการเมืองเป็นนิติบุคคล  ถือว่าเป็นการรับรองสถานะของพรรคการเมือง
มาตรา  ๑๘  ถ้าทำผิดแล้วจะมีโทษ
มาตรา  ๒๐  ()  เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองในขณะเดียวกันเกินกว่าหนึ่งพรรคการเมือง  ถ้าฝ่าฝืนจะต้องไปดูมาตรา  ๒๔  ซึ่งห้ามให้ผู้ใดเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองเกินกว่าหนึ่งพรรคในขณะเดียวกัน  ฝ่าฝืนให้ดูบทกำหนดโทษในมาตรา  ๑๒๕ 
มาตรา  ๒๒  จ้างเข้าพรรค  ฝ่าฝืนดูมาตรา  ๑๐๙
มาตรา  ๒๖  การหาสมาชิกภายในหนึ่งปี  (ขยายจากของเดิม  ๑๘๐  วัน)  ให้ได้จำนวนไม่น้อยกว่า ,๐๐๐  คน  กระจายในแต่ละภาค  หากดำเนินการไม่ได้โดนยุบพรรค  ดูจาก  มาตรา  ๙๑
มาตรา  ๙๑  (๑)  คือต้องสิ้นสภาพพรรค
มาตรา  ๙๑  (๒)  (ไม่ดี)  ไม่ส่งผู้สมัครเข้ารับเลือกตั้งสองครั้งติดต่อกัน 
มาตรา  ๙๑  (๓)  สมาชิกเหลือไม่ถึง  ,๐๐๐  คน 
มาตรา  ๙๑  ()  ไม่มีการเรียกประชุมใหญ่
มาตรา  ๙๒  เปรียบเหมือนพรรคเฉพาะกิจ
มาตรา  ๙๓ (ไม่ดี)   มีมาตรา  ๔๒  กับ  ๘๒
มาตรา  ๔๒  ไม่แจงบัญชีรายรับรายจ่าย
มาตรา  ๘๒  เอาเงินที่  กกต.ให้ไปใช้ ไม่ตรงวัตถุประสงค์
มาตรา  ๙๔  (๑)  -  (๔)  ควรนำมารวมกันให้หมดแล้วเรียกว่า  ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
มาตรา  ๓๑  (ดี)  เปรียบเหมือนวิธีการชั่วคราว  คือมีการเตือน  มีการบอกก่อน  มีการให้หยุดปฏิบัติหน้าที่  ซึ่งน่าจะมีการขยายไปสู่การลงโทษลักษณะอื่น    ต่อไป
มาตรา  ๓๒  (ดี)  ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกพรรคสามารถถอดถอนสมาชิกพรรคได้
มาตรา  ๓๗  (ไม่ดี)  มีการแก้ไขแต่ไม่ต่างจากเดิมนักคือจะมีการย่ำเรื่องการเข้ามีส่วนร่วมของสาขาของสมาชิกพรรค  หรือพูดว่าชาวบ้านหรือสมาชิกพรรคมีส่วนในการคัดเลือกผู้สมัครมากกว่ามติพรรค  หรือพูดง่าย    คือ  มติพรรคต้องฟังสาขาพรรค  ฟังสมาชิก  ซึ่งไม่น่าจะถูกต้องเพราะมติพรรคมีความสำคัญในการเมืองระบบรัฐสภา 
มาตร  ๓๘  วรรคท้าย  (ดี)  มติพรรคให้ส่งผู้สมัครให้เป็นที่สุด
มาตรา  ๔๓  (ไม่ดี)  ช่วย ส.ว.หาเสียง
มาตรา  ๔๘  (ดี)  รายได้และทรัพย์สินพรรคไม่ต้องเสียภาษี
มาตรา  ๔๙  ต้องแจงรายการทรัพย์สิน
มาตร   ๕๖  ,  ๕๗  ,  ๕๙  เงินบริจาคพรรคการเมือง  ปัจจุบันอนุญาตให้เอกชนบริจาคเงินให้พรรคการเมืองได้แล้ว  แต่ต้องเปิดเผย  ซึ่งห้ามเฉพาะเงินต่างชาติ  แต่สามารถรับเงินคนไทยได้ 
มาตรา  ๖๕  รับเงินสกปรก
มาตรา  ๖๖  รับเงินมาทำลายชาติ
มาตรา  ๖๙  ห้ามรับเงินต่างชาติ
มาตรา  ๗๓  (ดี) ให้มีกองทุนพรรคการเมืองเอาไว้ใช้เวลาฉุกเฉิน
มาตรา  ๗๕  ,  ๗๖  ,  ๗๘  (ไม่ดี)        -  เป็นการมองการเมืองแต่ในสภา
-  ถ้าพรรคการเมืองไม่มีที่นั่งในสภาจะไม่ได้รับการเหลียวแล
-  ต้องมีคะแนนเสียง  ถ้าไม่มีคะแนนเสียงจะไม่มีเงิน  สนับสนุน
เป็นการบัญญัติเรื่องการให้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองแคบเกินไป  ทำลายพรรคการเมืองพรรคเล็กที่ไม่มีที่นั่งในสภา  ไม่มีบทบาท  เมื่อไม่สนับสนุนพรรคเล็ก  ก็ถือว่าไม่สนับสนุนระบบรัฐสภา
 มาตรา  ๗๙  ,  ๘๐  (ดี)  ให้เวลาออกอากาศ  แล้วนำมารวมเป็นค่าใช้จ่ายในการหาเสียง
มาตรา  ๘๒  เอาเงิน กกต.ให้ไปใช้มั่ว
มาตรา  ๙๑ - ๙  เรื่องการยุบพรรค
มาตรา  ๙๕  ขั้นตอนการยุบพรรค
มาตรา  ๙๖  พรรคยุบ  หรือเลิก  หรือสิ้นสภาพพรรค  ให้ชำระบัญชี
มาตรา  ๙๗  ห้ามตั้งพรรคใหม่ภายใน    ปี  (เฉพาะกรรมการบริหารพรรค)
มาตรา  ๙๘  เพิกถอนสิทธิเลิกตั้ง  (กรรมการบริกพรรค)
มาตรา  ๙๙  (ดี)  ห้ามรวมพรรคหลังเลือกตั้ง  มาจากมาตรา  ๑๐๔  ของรัฐธรรมนูญ
มาตรา  ๑๐๒  (ไม่ดี)  เป็นการรวมพรรคที่ไม่ให้เกียติรสมาชิก
มาตรา  ๑๐๔  กลั่นแกล้งพรรคอื่น
          ทั้งหมดที่กล่าวมาคือรายละเอียดของกฎหมายพรรคการเมือง  *โดยจุดสนใจจะอยู่ที่การยุบพรรคการเมือง*  ให้นักศึกษาดูว่ามีเหตุใดบ้างที่เป็นเหตุของการยุบพรรค

สรุป
เรื่องที่อาจารย์สอนทั้งหมดมี    กฎหมายหลักคือ
-  กฎหมายรัฐธรรมนูญ
-  กฎหมายพรรคการเมือง
          โดยเอาระบบรัฐสภาเป็นตัวตั้งแล้วตรวจสอบ    กฎหมาย  ว่าเลขมาตราไหนของกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับระบบรัฐสภา
ส่วนข้อเปรียบเทียบก็คือระบบประธานาธิบดี  ก็ให้เอาตัวระบบประธานาธิบดีวางแล้วตรวจสอบกับพระราชบัญญัติส่วนท้องถิ่น  เช่น  มีคำว่าผู้ว่า    นายอำเภอ  คำพวกนี้เป็นการแทรกแซงของราชการส่วนกลาง  ราชการส่วนภูมิภาคที่เข้ามากระทบท้องถิ่น  ขัดกับหลักระบบประธานาธิบดี
            คำว่าการมีเสถียรภาพของรัฐบาลในระบบรัฐสภา  คือการเปลี่ยนแปลงภายใต้กรอบของกลไกในกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้  เช่นเลือกตั้งไปไม่นานยุบสภา  แล้วเลือกตั้งใหม่  แล้วก็มีการปรับคณะรัฐมนตรี  แบบนี้เรียกว่าการเมืองมีเสถียรภาพถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงก็ตาม  เพราะคาดหมายได้  แต่ถ้ามองว่าเสถียรภาพคือความคงทนของรัฐบาลแบบนี้ไม่ใช่  เพราะนั่นคือระบบประธานาธิบดีไม่ใช่ระบบรัฐสภา   นี่เป็นเรื่องของสองระบบที่มีความแตกต่างกันจะเหมาว่าการเมืองในระบบรัฐสภาที่เปลี่ยนรัฐบาลบ่อยคือระบบรัฐสภาที่ไม่มีเสถียรภาพไม่ได้  การไม่มีเสถียรภาพคือการเปลี่ยนในวิถีที่ไม่ใช่ตามวิถีของรัฐธรรมนูญเขียนไว้  ฉะนั้นสองการเมืองนี้มีปรัชญาที่แตกต่างกัน  สาเหตุที่ระบบการเมืองทั้งสองมีความแตกต่างกันเพราะที่มาของอำนาจไม่เหมือนกันกลไกในการตรวจสอบจึงไม่เหมือนกัน  ที่สำคัญคือเรามีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือรับใช้ระบบการเมือง  เมื่อระบบการเมืองเป็นอย่างไรกฎหมายรัฐธรรมนูญต้องเขียนให้สอดรับ  สิ่งที่เป็นอันตรายคือการเมืองในระบบรัฐสภาปล่อยให้สิ่งแปลกปลอม    ประการเกิดขึ้นคือ
-         ร่างกฎหมายจากข้อเท็จจริง
-         เอาระบบกฎหมายในระบบการเมืองอื่นมาใส่
-         มีการนำสิ่งที่อยู่ในระบบประธานาธิบดีมาใส่ในระบบรัฐสภา
ซึ่งจะกลายเป็นระบบรัฐสภาที่รุงรัง  เวลาสอบก็จะถามว่าอย่างไรจงอธิบาย
            ส่วนเรื่องศาลรัฐธรรมนูญ  ศาลปกครอง  แทรกเข้ามาให้เห็นว่ากระทบอำนาจระบบการปกครอง.

แนวข้อสอบ วิชา รัฐธรรมนูญและสถาบันการเมืองชั้นสูง
ในส่วนการบรรยายของ รศ.พัฒนะ เรือนใจดี
1. Collective Responsibility กับ Strong Executive
การเมืองในระบอบประชาธิปไตยมี 2 ระบบคือ
1. ระบบรัฐสภา
2. ระบบประธานาธิบดี
           กรณีมีบางประเทศเช่นประเทศฝรั่งเศส ที่บางท่านคิดว่าเป็นการปกครองระบบกึ่งรัฐสภา กึ่งประธานาธิบดี ความจริงไม่ใช่ ต้องดูว่าให้น้ำหนักกับฝ่ายไหนมากกว่ากัน ให้น้ำหนักกับฝ่ายรัฐสภาหรือให้น้ำหนักกับฝ่ายบริหาร หากประเทศไหนให้น้ำหนักกับฝ่ายรัฐสภามาก(นายกฯ) ประเทศนั้นก็เป็นระบบรัฐสภา(อินเดีย) แต่หากประเทศไหนให้น้ำหนักกับฝ่ายบริหารมากประเทศนั้นก็เป็นระบบประธานาธิบดี (ฝรั่งเศส)
            Collective Responsibility เป็นหลักการสำคัญของการปกครองในระบบรัฐสภา คือหลัก ความใกล้ชิดกันอย่างยิ่งของการเมืองในระบบนิติบัญญัติ กับ การเมืองในระบบบริหาร หมายความว่า ฝ่ายนิติบัญญัติต้องตรวจสอบฝ่ายบริหารได้ตลอดเวลา และในขณะเดียวกันฝ่ายบริหารก็ต้องสามารถตอบโต้ฝ่ายนิติบัญญัติได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน การตอบโต้ซึ่งกันและกัน หมายความว่า เมื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ก็ยุบสภาได้เช่นกัน ซึ่งเป็นหลักของการปกครองระบบรัฐสภา ประเทศไหนเขียนรัฐธรรมนูญให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีความใกล้ชิดอย่างยิ่งกับฝ่ายบริหารก็สอดคล้องกับระบบรัฐสภา แต่ถ้าประเทศไหนเขียนรัฐธรรมนูญให้ฝ่ายนิติบัญญัติห่างออกไปจากฝ่ายบริหาร มันก็ไม่สอดคล้อง ที่สอดคล้องคือต้องเขียนให้ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นใหญ่กว่าฝ่ายบริหาร รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเขียนให้ฝ่ายบริหารใหญ่กว่าฝ่ายนิติบัญญัติจึงไม่สอดคล้องกับระบบรัฐสภา


สรุปสาระของระบบรัฐสภา คือ
1. ฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารตรวจสอบกันได้
2. ให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีความใกล้ชิดอย่างยิ่งกับฝ่ายบริหาร
3. ฝ่ายบริหารมีมาตรการตอบโต้
4. ฝ่ายบริหารต้องบริหารอยู่ภายใต้ฝ่ายนิติบัญญัติ
ดังนั้นสิ่งที่จะต้องตรวจสอบว่าอะไรคือรัฐธรรมนูญจึงมีความจำเป็น
สิ่งที่จะตรวจสอบว่าอะไรเป็นรัฐธรรมนูญนั้น คือ
1. ต้องมีข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพ - จะเป็นหลักประกันให้กับประชาชน
2. ต้องมีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยไว้โดยชัดเจน - นิติ บริหาร ตุลาการ
3. ต้องมีข้อจำกัดอำนาจรัฐ - มิใช่จำกัดอำนาจประชาชน
ในการเมืองในระบบรัฐสภา สภาต้องเป็นใหญ่ คือสภานิติบัญญัติ ระบอบประชาธิปไตยไม่ว่าจะอยู่ในระบบรัฐสภา ระบบประธานาธิบดี ความสำคัญอยู่ที่อำนาจนิติ บริหาร ตุลาการ คืออยู่ที่อำนาจอธิปไตย ซึ่งอำนาจอธิปไตยก็มีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่ของแต่ละประเทศ หนทางหรือปลายทางในการที่จะร่างรัฐธรรมนูญคือ ต้องร่างให้เสริมสร้างการทำงานของสภานิติบัญญัติให้มากขึ้น การที่จะสรุปว่าประเทศปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาที่ดีนั้น เราต้องไปดูส่วนที่ว่าด้วยการทำงานของสภานิติบัญญัติ ว่ากระบวนการทำงานของสภานิติบัญญัติของเขาออกแบบให้ตรวจสอบฝ่ายบริหารได้หรือไม่ ซึ่งรัฐบาลในระบบรัฐสภาไม่ต้องการเสถียรภาพ แต่ต้องการให้นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับสภา ( ทั้งสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา )
ในระบบรัฐสภา การสำรวจเกี่ยวกับการตรวจสอบกลไกการทำงานของสภา เช่น ญัตติ กระทู้ อภิปรายไม่ไว้วางใจ (จำนวน เหตุผล) ทั้งรายบุคคลและทั้งคณะ ตั้งกรรมาธิการ การถอดถอน การตรวจสอบเรื่องงบประมาณ เป็นมาตรการที่สำคัญของสภานิติบัญญัติในการไปตรวจสอบฝ่ายบริหาร เมื่อเป็นการตรวจสอบของสภา จึงตรวจสอบคนเดียวไม่ได้ จึงต้องตรวจสอบโดยอาศัยมติพรรค ประเทศที่ปกครองโดยระบบรัฐสภาต้องอาศัยมติพรรค การทำงานต่างๆ ต้องอาศัยเสียง อาศัยมติพรรค แล้วมาตรการที่กล่าวมาสอดคล้องกับระบบของรัฐสภาหรือไม่ หากสอดคล้องกันมันต้องสามารถที่จะต้องมีความรับผิดชอบต่อสภา แตะต้องได้ตลอดเวลา
แต่การตรวจสอบของสภามันไม่เป็นผล นายกฯ ไม่ให้ความสำคัญต่อวุฒิสภา ตามกฎหมายก็เช่นกัน อยากจะตอบกระทู้หรือไม่ก็ได้ ไม่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่บังคับหรือให้ความสำคัญกับฝ่ายบริหาร กระทู้ก็หย่อนไป กระทู้ไม่สอดคล้องกับระบบของรัฐสภา เพราะจะตอบหรือไม่ก็ได้ จะตอบในราชกิจจานุเบกษาก็ได้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องแก้ไขในเรื่องที่เกี่ยวกับฝ่ายนิติบัญญัติตรวจสอบฝ่ายบริหาร กล่าวคือแก้ให้การเสริมสร้างให้การทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติเข้มแข็งขึ้น กล่าวคือ สภาผู้แทนราษฎรก็ตรวจสอบรัฐบาลได้ วุฒิสภาก็ตรวจสอบได้ มันก็จะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการปกครองระบบรัฐสภาว่า รัฐบาลจะบริหารงานอยู่ได้ตราบเท่าที่สภาให้ความไว้วางใจ
          การปกครองในระบบรัฐสภา เป็นการปกครองโดยเสียงส่วนน้อย(ครม.) ภายใต้ความเห็นของเสียงส่วนใหญ่ (สส.)
การร่างรัฐธรรมนูญ หัวใจอยู่ที่การเข้าใจระบบรัฐสภา และ ระบบประธานาธิบดี ต้องร่างให้มีการตรวจสอบกันได้ มาตรการตรวจสอบอยู่ที่ ญัตติ กระทู้ อภิปรายไม่ไว้วางใจ การตั้งกรรมาธิการ การถอดถอน การตรวจสอบเรื่องงบประมาณ เป็นต้น ดังนั้นประเทศที่มีการปกครองระบบรัฐสภา เข้าจึงออกแบบให้มีการตรวจสอบกันได้อยู่เสมอ
          Strong Executive เป็นหลักการปกครองของฝ่ายบริหารที่เข้มแข็ง เป็นการปกครองในระบบประธานาธิบดี ประธานาธิบดีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา สภาคองเกรสทำอะไรประธานาธิบดีไม่ได้ เพราะมันแยกกันอยู่ หมายความว่า ประธานาธิบดีก็บริหารประเทศไป ส่วนสภาคองเกรสก็ออกกฎหมายไป ไม่เกี่ยวข้องกัน ในระบบประธานาธิบดีนั้น เป็นระบบที่มีการแยกอำนาจกัน ระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ อย่างชัดเจนและเด็ดขาด ความเกี่ยวข้องอาจจะมีบ้างเช่น ประธานาธิบดีอาจจะไม่เอากฎหมายของสภาคองเกรสก็ได้ เขาเรียกว่าวีโต้ หรือเก็บไว้เฉยๆ สภาคองเกรส สามารถไต่สวนหรือถอดถอนประธานาธิบดีได้ แต่เขาก็ไม่ทำกัน ระบบที่มีการแบ่งแยกอำนาจกันทั้งนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ เป็นแนวความคิดของมองเตสกิเออ ในระบบประธานาธิบดีนั้น ฝ่ายบริหารไม่มีใครตรวจสอบ เขาจึงเน้นไปที่องค์กรอิสระ ในการทำหน้าที่ในการตรวจสอบ


2. ความบกพร่องของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

          ระบบรัฐสภาของเรามีความบกพร่องตรงไหน นั่นก็คือว่าต้องทำการตรวจสอบโดยเฉพาะอย่างยิ่งหมวดที่ว่าด้วยการทำงานของรัฐสภา กับหมวดที่ว่าด้วยการทำงานของคณะรัฐมนตรี ก็ต้องตรวจสอบว่าสิ่งเหล่านี้ทำไมไม่ไปถึงจุดที่ว่าความใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง หรือความสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง เพราะพูดถึงกันแต่จำนวน เช่น
มาตรา 116 การยุบสภา บอกว่าการยุบสภาของสภาผู้แทนราษฎร จะต้องทำในสมัยประชุมเดียว ครั้งเดียว ต้องมีเหตุผล ซึ่งเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ไม่ถูก เพราะการยุบสภานั้นเป็นมาตรการตอบโต้กัน ฝ่ายรัฐบาลสามารถจะมีอำนาจในการตอบโต้ฝ่ายนิติบัญญัติได้ ซึ่งความจริงก็เห็นได้ว่ารัฐบาลกับรัฐสภา ความจริงก็พวกเดียวกัน ก็คือสมาชิกที่เป็นเสียงข้างมากของสภา ก็คือสมาชิกของรัฐบาล รัฐมนตรีต่างๆ ก็มาจากสภาสนับสนุน
          รัฐธรรมนูญร่างแต่เพียงเฉพาะว่านายกมาจากการเลือกตั้ง รัฐมนตรีจึงมาจากไหนก็ได้ หลักการของระบบรัฐสภาคือต้องเอาสมาชิกสภานิติบัญญัติเข้าไปเป็นฝ่ายบริหาร ที่ไหนในโลกที่ปกครองระบบรัฐสภาเขาต้องให้สภานิติเป็นฝ่ายบริหาร เขาไม่ได้ตัดออก รัฐธรรมนูญปัจจุบันตั้งสมมติฐานผิดหลายอย่าง เช่น ต้องให้รัฐบาลอยู่นานๆ ขึ้นต้นก็ผิดแล้ว
          ความจริงแล้วรัฐบาลนี้ไม่ต้องอยู่นาน แต่สภาสามารถตรวจสอบได้ และตรวจสอบอย่างไรรัฐบาลนี้ก็อยู่ได้เพราะเสียงข้างมากในสภาเป็นเสียงของรัฐบาล แต่เมื่อไปร่างให้เสถียรภาพก็กลายเป็นปกครองในระบบประธานาธิบดีไป
สมาชิกต้องเป็นสมาชิกนิติบัญญัติกับสมาชิกของบริหารในขณะเดียวกัน หมายความว่าเหมือนกับรัฐธรรมนูญ 2517 , 2521 , 2534 กล่าวคือ รัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ โดยเฉพาะหมวดที่ว่าด้วยการทำงานของสภานิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร ดีกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพราะฉบับก่อนๆ นั้น สภานิติบัญญัติเป็นฝ่ายบริหารด้วย
การปฏิรูปหรือ แก้ไขรัฐธรรมนูญก็ดี ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่การจะแก้ได้ทั้งหมดต้องอยู่ที่สังคม ต้องเสริมสร้างการทำงานของสภานิติบัญญัติ ให้สภานิติบัญญัติมีอำนาจมากขึ้น เมื่อหวังอะไรจาก สส. ไม่ได้ก็มาที่ สว. แต่การอภิปรายของ สว. เช่น จำนวนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ การเสนอกระทู้ การเสนอกฎหมาย การพิจารณางบประมาณ ก็ดี แต่ก็ไม่มีลงคะแนน จึงต้องให้ สว. มีอำนาจมากกว่าหรือเท่ากับ สส. หรือสิ่งที่ สส. ทำได้ สว. ก็ทำได้ เพราะนี่คือสภานิติบัญญัติ นี่เป็นประเด็นใหม่ๆที่เกิดขึ้น  จึงต้องทำให้สภานิติบัญญัติสามารถตรวจสอบได้ เช่น จำนวนการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ 1ใน 5 ตาม ม.186 -187 ให้ลดจำนวนลงมา เพื่อเปิดอภิปรายได้และเพื่อให้สภานิติบัญญัติสามารถตรวจสอบได้
          ประเทศอังกฤษ สภาตรวจสอบนายกรัฐมนตรีได้ตลอดเวลา เพราะกลไกการตรวจสอบของการอภิปรายไม่วางใจเขาไม่ได้วางไว้ว่าต้องมีกี่เสียง จำนวนเท่าไหร่ เพราะเขาวางไว้ตามรูป A สามารถตรวจสอบได้ สามารถอภิปรายนายกรัฐมนตรีได้
รัฐบาลต้องไม่มีเสถียรภาพ ดังนั้นมาตราไหนของรัฐธรรมนูญที่เขียนให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ มาตรานั้นผิด (หมายความว่า ตรวจสอบไม่ได้ ต้องใช้เสียงเท่านั้นเท่านี้ ต้องมีเหตุผล ผิดหมด) ดังนั้นรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ไม่ใช่ฉบับปัจจุบันนั้น ถูกทั้งหมด เพราะเขาเขียนให้มันเกี่ยวข้องกัน
          ในระบบรัฐสภา การสำรวจเกี่ยวกับการตรวจสอบกลไกการทำงานของสภา เช่น ญัตติ กระทู้ อภิปรายไม่ไว้วางใจ (จำนวน เหตุผล การตั้งกรรมาธิการ) การถอดถอน การตรวจสอบเรื่องงบประมาณ เป็นมาตรการที่สำคัญของสภานิติบัญญัติในการไปตรวจสอบฝ่ายบริหาร เมื่อเป็นการตรวจสอบของสภา จึงตรวจสอบคนเดียวไม่ได้ จึงต้องตรวจสอบโดยอาศัยมติพรรค ประเทศที่ปกครองโดยระบบรัฐสภาต้องอาศัยมติพรรค การทำงานต่างๆ ต้องอาศัยเสียง อาศัยมติพรรค แล้วมาตรการที่กล่าวมาสอดคล้องกับระบบของรัฐสภาหรือไม่ หากสอดคล้องกันมันต้องสามารถที่จะต้องมีความรับผิดชอบต่อสภา แตะต้องได้ตลอดเวลา แต่การตรวจสอบของสภามันไม่เป็นผล นายกฯ ไม่ให้ความสำคัญต่อวุฒิสภา ตามกฎหมายก็เช่นกัน อยากจะตอบกระทู้หรือก็ได้ ไม่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่บังคับหรือให้ความสำคัญกับฝ่ายบริหาร กระทู้ก็หย่อนไป กระทู้ไม่สอดคล้องกับระบบของรัฐสภา เพราะจะตอบหรือไม่ก็ได้ จะตอบในราชกิจจานุเบกษาก็ได้
          กรรมาธิการในประเทศที่อยู่ในระบบรัฐสภา และ กรรมาธิการในประเทศที่อยู่ในระบบประธานาธิบดี นั้น กรรมาธิการในประเทศที่อยู่ในระบบรัฐสภา มีอำนาจมากกว่ากรรมาธิการในประเทศที่อยู่ในระบบประธานาธิบดี แต่เมื่อมองดูประเทศที่อยู่ในระบบประธานาธิบดี กลายเป็นว่ากรรมาธิการของเขาลงโทษข้าราชการประจำได้ นำเสนอความผิดต่อวินัยได้ แต่ในระบบรัฐสภาไทย ไม่เห็นกรรมาธิการอยู่ในสายตา การเมืองในระบบรัฐสภาต้องเสริมสร้างอำนาจให้กรรมาธิการ ดังเช่นกรรมาธิการของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาไม่มีความจำเป็นว่ากรรมาธิการจะต้องมีอำนาจมาก แต่กรรมาธิการเขาสามารถตรวจสอบข้าราชการได้ เรียกข้าราชการได้ หากเรียกไม่มาก็มีความผิด ลงโทษทางวินัยได้
          ที่กล่าวมาจึงมองเห็นได้ว่า ทำไมองค์กรอิสระจึงมีความจำเป็นในระบบประธานาธิบดี ส่วนระบบรัฐสภาไทย คงมีแต่ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครองเท่านั้นที่จำเป็น นอกจากนั้นไม่จำเป็นในระบบรัฐสภา เพราะระบบรัฐสภาให้อำนาจแก่สภานิติบัญญัติมากอยู่แล้ว เมื่อสภานิติบัญญัติมีอำนาจมากก็สอดคล้องกับหลักการของระบบรัฐสภา มากถึงขนาดไปคร่อมฝ่ายตุลาการด้วย
มาตรา 303 – 307 การเข้าชื่อ การถอดถอน ของอังกฤษไม่มี ไทยไปลอกรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส เยอรมัน มา ซึ่งความจริงมันเป็นระบบที่แยกอำนาจกัน ระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี เป็นระบบที่แยกอำนาจกัน แต่ของเราไม่ได้เขียนว่าให้แยกกัน แต่เขียนให้ฝ่ายบริหารถูกตรวจสอบยาก ไม่มีใครตรวจสอบฝ่ายบริหารฝ่ายบริหารจะได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการตั้งต้นผิด ต้องตั้งต้นให้สภาเป็นใหญ่ การเมืองในระบบรัฐสภาไม่จำเป็นต้องอาศัยการมีเสถียรภาพของฝ่ายบริหาร ซึ่งจะเปลี่ยนอย่างไรก็ได้แต่ขอให้เปลี่ยนอยู่ภายใต้กลไกของรัฐธรรมนูญ ที่เรารู้ว่าอนาคตมันจะเป็นอย่างไร
          ในระบบประธานาธิบดีนั้น เป็นระบบที่มีการแยกอำนาจกัน ระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ ความเกี่ยวข้องอาจจะมีบ้างเช่น ประธานาธิบดีอาจจะไม่เอากฎหมายของสภาคองเกรสก็ได้ เขาเรียกว่าวีโต้ หรือเก็บไว้เฉยๆ สภาคองเกรส สามารถไต่สวนหรือถอดถอนประธานาธิบดีได้ แต่เขาก็ไม่ทำกัน ระบบที่มีการแบ่งแยกอำนาจกันทั้งนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ เป็นแนวความคิดของมองเตสกิเออ ในระบบประธานาธิบดีนั้น ฝ่ายบริหารไม่มีใครตรวจสอบ เขาจึงเน้นไปที่องค์กรอิสระ ในการทำหน้าที่ในการตรวจสอบ เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา ปปช. คณะกรรมการต่างๆ เพื่อตรวจสอบ
          แต่ของเราเป็นระบบรัฐสภา จึงไม่จำเป็นต้องมี จึงเป็นระบบรัฐสภาที่รุงรัง อำนาจเรามี 3 อย่าง ที่สำคัญก็คือต้องให้อำนาจสภานิติบัญญัติ คือเสริมสร้างการทำงานสภานิติบัญญัติ ให้สภานิติบัญญัติมีอำนาจมากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่ทำอยู่คือ กระทู้ ญัตติ อภิปรายไม่ไว้วางใจ ตั้งกรรมาธิการ ถอดถอน การตรวจสอบเรื่องงบประมาณ ทั้ง 6 อย่างนี้ต้องให้อำนาจสภานิติบัญญัติอย่างเต็มที่ ความก้าวหน้าของไทยคือ การถอดถอน ซึ่งของอังกฤษเขาไม่มี และวุฒิสมาชิกของอังกฤษก็มาจากการแต่งตั้ง ของไทยก็มาจากการเลือกตั้ง เมื่อมาจากการเลือกตั้งอำนาจก็ต้องต่างจากสภาผู้แทนราษฎร เพราะถ้าอำนาจเหมือนกันแล้วทำไมต้องมี 2 สภา จึงต้องเพิ่มอำนาจให้กับ สว. แต่ที่สำคัญ เราต้องไม่เขียนรัฐธรรมนูญจากข้อเท็จจริง เราต้องเขียนรัฐธรรมนูญจากหลักทฤษฎีก่อนว่า หลักทฤษฎีจากระบบรัฐสภานั้น สภาต้องเป็นใหญ่ ในระบบรัฐสภาของไทยที่ก้าวหน้ากว่าเขาก็คือ การถอดถอน มาตรา 213 การเสริมสร้างการทำงานของพรรคการเมืองบทที่ว่าการให้อำนาจพรรคการเมือง

บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ไม่สอดคล้องกับระบบรัฐสภา
1. ฝ่ายบริหารเป็นสมาชิกของรัฐสภาในขณะเดียวกัน
2. สมาชิกรัฐสภาสามารถเข้าถึงหรือตรวจสอบฝ่ายบริหารได้
3. รัฐบาลหรือฝ่ายบริหารต้องมาจากเสียงข้างมาก
4.รัฐบาลและรัฐสภาต่างมีอำนาจและต่างมีโอกาสที่จะควบคุมซึ่งกันและกันโดยหลักความรับผิดชอบร่วมกัน
5. รัฐบาลและรัฐสภามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายหลัก และมีหน้าที่ร่วมกันที่จะดำเนินนโยบายที่ได้กำหนดไว้โดยกฎหมาย
เป็นหลักการสำคัญของระบบรัฐสภา มี 5 อย่างดังกล่าว แล้วไปแตกในการสร้างรัฐธรรมนูญ ในประเทศต่าง ๆ

จากข้อ 1. ฝ่ายบริหารเป็นสมาชิกของรัฐสภาในขณะเดียวกัน
1.1 มาตรา 204 ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ฝ่ายบริหารเป็นสมาชิกของรัฐสภาในขณะเดียวกัน ซึ่งบัญญัติว่าห้ามนายกรัฐมนตรี และ รมต.ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารเป็นสมาชิกของรัฐสภาในขณะเดียวกัน ซึ่งความจริง นายกฯและ รมต. จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับสภาจึงจะถูกต้อง มาตรา 204 จึงขัดกับหลักการของระบบรัฐสภา (ต้องเขียนว่าให้นายกฯ/รมต.เป็นสมาชิกของรัฐสภาในขณะเดียวกัน)
1.2 มาตรา 118 (7) , 201 วรรค 2 , 206 , 215 (1) , 216 (7) ประกอบ 217 รมต.ไม่ต้องมาจาก สส./สว. เมื่อ รมต.ไม่ต้องมาจาก สส. มันก็ผิดหลัก ขัดต่อระบบรัฐสภา
          ในประเทศอังกฤษ รัฐมนตรีมาจาก ส.ส.ทั้งสิ้น โดยจะมีการจัดกระทรวงเกรด A และกระทรวงเกรด B และก็อาจจะมีบางตำแหน่งมาจาก สภาสูงก็ได้ กระทรวงสำคัญต่าง ๆ เช่น กระทรวงคมนาคม ,กระทรวงมหาดไทย จะต้องให้ ส.ส.เป็นรัฐมนตรี ส่วนกระทรวงที่ไม่ค่อยมีความสำคัญเช่น กระทรวงวัฒนธรรม ฯ ก็อาจให้วุฒิสมาชิกเป็นรัฐมนตรีก็ได้ เพราะในจารีตประเพณีของอังกฤษ คนที่เป็นรัฐมนตรี จะสามารถเข้ามาชี้แจงเรื่องต่างๆ ได้ก็เฉพาะสภาที่ตนเองสังกัด การจะอยู่หรือไปของรัฐบาลในระบบรัฐสภามันอยู่ที่สภาล่าง ในประเทศอังกฤษทำให้ต้องมีการแต่งตั้งรัฐมนตรีต่างๆ ขึ้นมาจากสภาล่าง ถือได้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีหลายเรื่อง แต่ในส่วนรัฐสภามีความบกพร่อง คนร่างรัฐธรรมนูญสมัยก่อนจะร่างรัฐธรรมนูญให้มันเกี่ยวกัน (รัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ) แต่รัฐธรรมนูญ ฯ พ.ศ.2540 ที่ไปลอกรัฐธรรมนูญในระบบฝรั่งเศสที่เป็นรัฐธรรมนูญที่แยกอำนาจมา ไม่ได้นำหลักทฤษฎีในทางรัฐธรรมนูญมาร่าง กลับนำเอาข้อเท็จจริงทางการเมืองของประเทศมาร่างจึงเสียหาย ข้อเท็จจริงคือจะมีการปฏิวัติรัฐประหารบ่อย หรือรัฐบาลตีกันเอง คนไทยก็เบื่อ ก็เลยร่างให้ตรวจสอบกันไม่ได้ หรือตรวจสอบได้ แต่ก็ตรวจสอบยาก รัฐบาลจะได้อยู่นาน ๆ ก็เลยขัดกัน เลยตั้งสมมติฐานว่า ส.ส.เป็นรัฐมนตรีไม่ได้ เนื่องจากเห็นว่าขี้โกง เพราะ ส.ส.ซื้อเสียง ถ้าไม่ให้ ส.ส.เป็นรัฐมนตรี จะเห็นได้ว่าระบบรัฐสภาไม่ได้แก้ปัญหาการซื้อเสียงเลย ก็เลยขัดกับหลักการของรัฐสภา จะเห็นได้ว่า รัฐสภาคือพาหนะของผู้แทนฯ ที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐ ซึ่งการที่ผู้แทนฯ หาเสียงเลือกตั้ง โดยมีนโยบายในการหาเสียงต่างๆ ในการหาเสียงกับประชาชน แต่เมื่อได้เข้าไปเป็น ส.ส. กลับหมดโอกาสบริหาร (เนื่องจากนายกรัฐมนตรีมักแต่งตั้งบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นรัฐมนตรี) ทำให้ปัญหาของชาวบ้านไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งรัฐมนตรีก็ไม่แก้ไขให้ เนื่องจากเป็นบุคคลภายนอกที่นายกฯ แต่งตั้งเข้ามาจะไม่สนใจพวก ส.ส เพราะเห็นว่านายกเป็นคนเลือกเข้ามา

จากข้อ 2. สมาชิกรัฐสภาสามารถเข้าถึงหรือตรวจสอบฝ่ายบริหารได้
สมาชิกสภาผู้แทนฯ จะต้องเข้าถึงและตรวจสอบฝ่ายบริหารได้ การเข้าถึงหรือตรวจสอบได้คือ ตามรูป A สุดแท้ว่าเราจะมีมาตรการอะไรบ้างในการเข้าถึง และตรวจสอบ ถ้าไม่เขียนให้เข้าถึง หรือตรวจสอบไม่ได้ ก็ต้องเขียนให้แยกอำนาจจากกัน
2.1 สมาชิกรัฐสภาเข้าถึงฝ่ายบริหารได้ยาก โดยการตรวจสอบการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจากหลัก 6 ประการ
2.1.1 การตั้งกระทู้
(1) การตั้งกระทู้ถามธรรมดา มาตรา 183
(2) การตั้งกระทู้สด มาตรา 184
(3) การให้สิทธิ รมต.ที่มีสิทธิที่จะไม่ตอบกระทู้ก็ได้
(4) ข้อจำกัดในการตั้งกระทู้ (ต้องถามได้อย่างกว้างขวางจึงจะถูกต้อง)
เป็นการขัดต่อระบบรัฐสภา
2.1.2 ญัตติ
2.1.3 อภิปรายไม่ไว้วางใจ
2.1.4 ตั้งกรรมาธิการ
2.1.5 การถอดถอน
2.1.6 การตรวจสอบเรื่องงบประมาณ
2.2 การเสนอญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป
2.2.1 การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ มาตรา 185 (ปัญหาอยู่ที่จำนวนเสียง)
2.2.2 การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ รมต. มาตรา 186 (ปัญหาอยู่ที่จำนวนเสียง)
2.2.3 การเปิดอภิปรายทั่วไปในการประชุมร่วมกันของสภาเพื่อฟังความเห็น มาตรา 213 (กำหนดให้ลงมติไม่ได้ เพราะลอกมาจากฝรั่งเศส) ที่ถูกต้องควรจะให้มีการลงมติ เพราะมาตรา 213 เป็นเรื่องการตรวจสอบของสภา
2.2.4 การห้ามมิให้มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ มาตรา 159 เป็นการบล็อกการทำงานของสภา ความจริงในเรื่องการตรวจสอบต้องตรวจสอบได้ง่าย
2.3 กลไกคณะกรรมาธิการ เพื่อตรวจสอบว่าฝ่ายบริหารที่ดำเนินตามนโยบายที่แถวงไว้ต่อรัฐสภา (มาตรา 211,212) (บกพร่องที่คณะกรรมาธิการขาดสภาพบังคับ) จะต้องแก้ให้คณะกรรมาธิการมีอำนาจ (เช่น โดยการเอาอำนาจขององค์กรอิสระมาให้คณะกรรมาธิการ มิฉะนั้นคณะกรรมาธิการจะไม่มีอำนาจ)
2.4 การพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ( มาตรา 180)
ไม่ว่าจะเป็นระบบรัฐสภา หรือ ระบบประธานาธิบดี ก็ให้รัฐสภาเป็นผู้ตรวจสอบงบประมาณ
2.5 กระบวนการในการถอดถอนวุฒิสภา (มาตรา 303 )
2.5.1 เหตุที่จะร้องขอให้ถอดถอนและผู้มีอำนาจลงมติถอดถอน (มาตรา 303)
2.5.2 ผู้มีสิทธิร้องขอให้ถอดถอนและคำร้องขอให้ถอดถอน (มาตรา 304)
2.5.3 กระบวนการในการถอดถอน (มาตรา 305 , 306 )
2.5.4 จำนวนเสียงในการลงมติให้ถอดถอนและผลการถอดถอน (มาตรา 307)
(ใช้จำนวนเสียงมากเกินไป ต้องปรับให้จำนวนเสียงลดน้อยลงเพื่อเอารัฐมนตรีขี้โกงออกได้) และเสียงข้างมากเป็นของรัฐสภา จึงไม่สอดคล้องกับระบบรัฐสภา
2.5.5 ความไม่สอดคล้อง กับการปกครองในระบบรัฐสภา เช่น
(1) จำนวนผู้มีสิทธิร้องขอให้ถอดถอน
(2) รายละเอียดในคำร้องขอให้ถอดถอน ( ทำให้เกิดความยุ่งยาก)
(3) ขั้นตอนการถอดถอนมีหลายขั้นตอน กลับไปกลับมา
(4) การให้อำนาจ ปปช. มีอำนาจในการไต่สวน (ควรจะอยู่ที่วุฒิสภา)
(5) การกำหนดว่ามติของวุฒิสภาถึงเป็นที่สุด
จากข้อ 3. รัฐบาลหรือฝ่ายบริหารต้องมาจากเสียงข้างมาก
จากข้อ 4. รัฐบาลและรัฐสภาต่างมีอำนาจและต่างมีโอกาสที่จะควบคุมซึ่งกันและกันโดยหลักความรับผิดชอบร่วมกัน


4. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความสอดคล้องกับหลักการของประธานาธิบดีมากที่สุดก็คือ กทม. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความสอดคล้องกับหลักการของประธานาธิบดีน้อยที่สุดก็คือ อบต.

          ความสัมพันธ์ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น เป็นความสัมพันธ์ควบคุมบังคับบัญชาและมีทั้งการกำกับ การปกครองส่วนท้องถิ่น นายก อบต. อบต. ทั้งหลายมาจากการเลือกตั้งโดยจากประชาชน เป็นการได้รับอำนาจโดยตรงจากประชาชน เหมือนกับระบบประธานาธิบดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กทม. เหมือนระบบประธานาธิบดี มีผู้ว่าฯ มี สก.ฯ ต่างคนก็ต่างอยู่ สก.ฯ อภิปรายไม่ไว้วางใจผู้ว่าฯ ไม่ได้ ผู้ว่าฯ จะยุบสภา กทม. ก็ไม่ได้ อำนาจของผู้ว่าก็บริหารไป สก.ฯ ก็ออกข้อบัญญัติ กทม.ไป เทศบาลก็ออกข้อบัญญัติ ตำบลก็ออกข้อบังคับตำบล
          รูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นรูปแบบเหมือนประธานาธิบดี แบ่งองค์กรที่ใช้อำนาจออกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของเรามันยังไม่ไปถึงจุดนั้น เพราะยังมีการกำกับดูแลจากส่วนกลาง เช่น รมต.มท. ปลดผู้ว่า กทม. / ผู้ว่า ยุบ อบต. เป็นต้น
          กทม. เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความสอดคล้องกับหลักการของประธานาธิบดีมากที่สุด เนื่องจากว่า มีไม่กี่บทมาตราที่ให้อำนาจราชการส่วนภูมิภาคเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ที่ไม่สอดคล้องกับระบบประธานาธิบดี คือ
มาตรา 19 ถ้าปรากฏว่าการดำเนินการของ ผู้ว่า กทม. และ สภากทม. ขัดแย้งกัน หรือการดำเนินงานของ ผู้ว่า กทม. และ สภา กทม. เป็นไปทางที่ไม่ถูกต้องจนอาจก่อเกิดความเสียหายแก่ กทม. รมต.มท. โดยอนุมัติ ครม. อาจยุบสภา กทม.ได้
มาตรา 36 ในที่ประชุม กทม. สมาชิกย่อมมีสิทธิตั้งกระทู้ถามผู้ว่า กทม. ในเรื่องใดๆ อันเกี่ยวกับการงาน แต่ผู้ว่า กทม. มีสิทธิที่จะไม่ตอบ
มาตรา 37 สมาชิกสภา กทม. จำนวนไม่น้อยกว่า 2/5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอให้เปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อให้ ผู้ว่า กทม. แถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นในปัญหาเกี่ยวกับการบริหารราชการ กทม. แต่ สภา กทม.จะลงมติในปัญหาที่อภิปรายไม่ได้
          อบต. คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความสอดคล้องกับหลักการของประธานาธิบดีน้อยที่สุด  เนื่องจากถูกราชการส่วนภูมิภาคเข้ามากำกับดูแลมาก จนเป็นการควบคุม บทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องกับระบบประธานาธิบดีคือ
มาตรา 90 ให้นายอำเภอมีอำนาจกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของ อบต.
มาตรา 91 เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชน ในเขต อบต. หรือประโยชน์ของประเทศส่วนรวม นายอำเภอจะรายงานเสนอความเห็นต่อ ผวจ. เพื่อยุบสภา อบต. ก็ได้
มาตรา 92 หากปรากฎว่า นายก อบต. รอง นายก อบต. ประธานฯ อบต. รอง ประธาน อบต. ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ ให้นายอำเภอสอบสวนโดยเร็ว คำสั่ง ผวจ. ให้เป็นที่สุด
3. หลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ กับ หลักความสูงสุดของรัฐสภา เกี่ยวข้องกันหรือไม่อย่างไร
หลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ คือ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้เป็นแนวทางในการปกครองประเทศ หรือรัฐธรรมนูญนิยม หรือความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กฎหมายใดจะออกมาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมิได้
หลักความสูงสุดของรัฐสภา คือสภาเป็นใหญ่(ประเทศอังกฤษเป็นต้นแบบ) โดยให้ความสำคัญกับสภานิติบัญญัติ อังกฤษมิได้ให้ความสำคัญต่อรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนอินเดียก็ใช้ระบบรัฐสภา เพราะมีนายกฯ บริหารประเทศ มีรัฐธรรมนูญ
          หลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ กับ หลักความสูงสุดของรัฐสภา ไม่เกี่ยวข้องกัน กล่าวคือ รัฐธรรมนูญจะบัญญัติอย่างไรก็เป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญ สุดแท้แต่ประเทศไหนจะระบุเรื่องอะไร ซึ่งหลักสำคัญรัฐธรรมนูญมี 3 ประการคือ
1. ต้องมีข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพ - จะเป็นหลักประกันให้กับประชาชน
2. ต้องมีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยไว้โดยชัดเจน - นิติ บริหาร ตุลาการ
3. ต้องมีข้อจำกัดอำนาจรัฐ - มิใช่จำกัดอำนาจประชาชน
แต่หลักความสูงสุดของรัฐสภา นั้น เป็นหลักให้ความสำคัญกับสภา (นิติบัญญัติ)
การปกครองในระบบรัฐสภา มีความสัมพันธ์กับรัฐธรรมนูญอย่างไร
การปกครองในระบบรัฐสภา ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ ประเทศที่มีการปกครองในระบบรัฐสภา จะมีรัฐธรรมนูญหรือไม่ก็ได้ (อังกฤษ) แต่การปกครองในระบบรัฐสภาที่จะเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ จะต้องบรรจุหลักการข้อกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่นบทบัญญัติที่ว่าด้วย ญัตติ กระทู้ อภิปรายไม่ไว้วางใจ กรรมาธิการ ถอดถอน การตรวจสอบเรื่องงบประมาณ แต่ที่สำคัญต้องบรรจุเกี่ยวกับกระบวนการทำงานของรัฐสภาว่า กระบวนการทำงานของรัฐสภามีอะไรบ้าง และ กระบวนการทำงานของรัฐสภาเหล่านั้นถูกบรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญอย่างไร แล้วจะนำไปสู่ว่ารัฐธรรมนูญนั้น สอดคล้องหรือไม่กับหลักการปกครองระบบรัฐสภา และจะสอดคล้องหรือไม่ก็ต้องกลับไปดูว่าหลักการของระบบรัฐสภามีอยู่อย่างไร

-------เป็นแค่ส่วนหนึ่งในการอ่านเตรียมตัวเรียนและสอบ  
                 ข้อย้ำ!!!!! ไม่ใช่เกร็งข้อสอบ------------
ขอบคุณ : น้องนพ @ น้องอุ๊ ที่ส่งข้อมูลให้ขึ้นบล็อก
                                                                                                                                               กวนอู007



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

มุมสำหรับเพื่อน ๆ แสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยน เติมเต็ม ติชม และแซว